ก้าวที่ 9  ใจลังเล

 

ารตายของเจ้าพ่อเมืองหลวงแคล้ว ธนิกุล ทำเอารัฐบาลของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติยุคพลเอกสุจินดา คราประยูร เป็นผู้นำประเทศดูน่าเกรงขามมากขึ้น

บรรดาผู้มีอิทธิพลเจ้าพ่อมาเฟียชื่อดังพากันหัวหดเก็บตัวเงียบ

ส่งผลให้“บิ๊กตุ๋ย”พลเอกอิสระพงศ์ หนุนภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายพลทหารร่างเล็กกลายเป็นบิ๊กเบิ้มในทันที เวลาไปไหนมาไหนมักมีนักข่าวตามกันเป็นพรวน

กระแสข่าวเบื้องหลังสมัยนั้นมั่นใจว่า รัฐบาลทหารออกใบสั่งเช็กบิลผู้กว้างขวางอันดับ 1 ของยุทธจักรหวังตัดไม้ข่มนามเชือดไก่ให้ลิงดู

ผมฝึกงานข่าวเข้าเวรบ่ายวันอาทิตย์เขตชานเมือง นายพลนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้ารุ่น 5 ที่ผันตัวไปคุมกระทรวงคลองหลอด ภายหลังเพื่อนร่วมรุ่นสถาบันรั้วแดงกำแพงเหลืองปฏิบัติการรัฐประหารชิงอำนาจพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมสถานีตำรวจนครบาลพหลโยธินพอดี

รัฐมนตรีชื่อก้องเดินทะมัดทะแมงตรวจโรงพักยามอาทิตย์ลาลับ มีนายตำรวจเข้าแถวยืนตรงทำความเคารพกันอย่างแข็งขัน เสร็จสรรพก็เป็นธรรมเนียมของนักการเมืองที่ต้องตอบข้อซักถามกระจอกข่าวที่แห่กันไปสังเกตการณ์เต็มโรงพัก

“รัฐบาลไม่ได้อยู่เบื้องหลังการเสียชีวิตของแคล้วแน่นอนครับ ผมยืนยันได้” นายทหารใหญ่ปฏิเสธเสียงเข้ม

“เราพยายามเร่งรัดให้จับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีโดยเร็วแล้ว”เจ้าตัวย้ำ

ผมยืนอยู่ด้านหลังฟังคำสัมภาษณ์ของอดีตบิ๊กทหารผู้กุมชะตากรรมประเทศสมัยนั้นแบบเสียงดังฟังชัด พลเอกอิสระพงศ์ใช้เวลาพ่นน้ำลายไม่ถึงสิบนาทีก็สิ้นสุดภารกิจ ผมเดินขึ้นรถตระเวนอย่างภาคภูมิใจที่ได้มีโอกาสกระทบไหล่รัฐมนตรีครั้งแรกในชีวิต

“มท.1 ว่า อะไรบ้างวะ”

“อ๋อ … ผมไม่ได้จดครับพี่”

“เฮ้ย แล้วทำไมเอ็งไม่จดวะ” เสียงประทีป สุวรรณพืช นักข่าวหนุ่มหนังสือพิมพ์ไทยรัฐที่เป็นติวเตอร์ให้ผมฝึกงานเอ็ดตะโรลั่นรถ นับเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพี่แกโมโหส่งสัญญาณความไม่พอใจ ผมอึกอักเงียบสักพัก

“ผมจำได้ครับพี่”

“แน่นะเอ็ง ถ้าอย่างนั้นจดมาให้ข้าเลย เขาให้สัมภาษณ์ว่า อะไร เอาให้ละเอียดนะข้าจะได้ส่งโรงพิมพ์” ประทีปยังคงขุ่น

“ครับพี่” ผมรับคำแล้วพยายามทบทวนความทรงจำที่เพิ่งผ่านไปไม่กี่นาทีถ่ายทอดคำสัมภาษณ์ของนายพลทหารใหญ่ลงในสมุดจดข่าวก่อนเล่าให้พี่แกฟังแบบกระท่อนกระแท่นเอาตัวรอดไปหวุดหวิด แต่ถือเป็นบทเรียนสำคัญให้เราจำไปจนตาย หากจะเลือกเดินในสนามข่าวแห่งนี้

อย่าเอาแต่ยืนแอ็กออกหน้ากล้องทีวีแล้วไม่ยอมจดข่าว

ตลอดระยะเวลาเกือบ 2 เดือนที่ได้ไปฝึกงานตระเวนข่าวสังกัดหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของวงการน้ำหมึกเมืองไทย ผมเรียนรู้ชีวิตคนข่าวจากประทีป สุวรรณพืช และผองพี่ในค่ายไทยรัฐอยู่ไม่น้อย นอกจากประสบการณ์หาข่าวสารพัดรูปแบบแล้ว ผมยังสัมผัสอีกว่า อาชีพนักข่าวไม่ง่ายที่จะหาสาวคนรักเข้าใจ

ผมจะเห็นประทีปทุกข์ทุกครั้งเวลาเข้าเวรแล้วแฟนสาวของเขาจะออกอาการงอนเหมือนฝ่ายชายไม่มีเวลาให้เพียงพอ แต่พี่แกไม่เคยระบายอะไรให้ผมฟังสักครั้ง กระทั่งช่วงที่ผมใกล้เสร็จห้วงเวลาฝึกงานเพียงวันเดียว

บ่ายวันอาทิตย์ที่ดูเหมือนไม่น่ามีอะไรวุ่นวายสำหรับคนข่าวอาชญากรรม ประทีปบอกให้โชเฟอร์รถตระเวนที่มีผมนั่งอยู่ด้วยไปยังโรงพยาบาลวิชัยยุทธ

“ฝากฟัง ว.ด้วยนะโว้ย” พี่นักข่าวหัวเด็ดหันมาบอก

“แฟนพี่ไม่สบาย ต้องมาดูเขาหน่อย” ประทีปย้ำก่อนที่ตัวแกจะขึ้นห้องพักผู้ป่วยหายไปนานนับชั่วโมง ทิ้งให้ผมกับคนขับรถนั่งรออยู่ในรถ

“พระนครแจ้ง น.สื่อมวลเขต บก.น.เหนือ รับแจ้งจากนคร 46 ขณะนี้มีเหตุคนร้ายใช้มีดจับหญิงเป็นตัวประกัน เหตุเกิดท้องที่รับผิดชอบ สน.หัวหมาก สื่อมวลชนใดต้องการ ว.29 ให้ ว.25 ที่เกิดเหตุ พระนครทวน ว.8 ….”

“เอาแล้วไง” ผมอุทาน

“นั่นดิ” หนุ่มคนขับรถหันมามองหน้า

ยังไม่ทันที่จะขยับอะไรเสียงเร่งเร้าระทึกใจก็ดังขึ้นมาทันควัน

“ศูนย์ 8 เรียก 604 เรียก 604 ว.2 เปลี่ยน ….”

“ทำไงดี” ผมร้อนใจ เพราะโรงพิมพ์เรียกวิทยุผ่านเข้ามาในรถ ไอ้เราจะชิงตอบก็กลัวถูกซัก ผมไม่รู้ว่า พี่แกขึ้นไปห้องไหน ชั้นไหน สมัยนั้นโทรศัพท์มือถือก็ไม่มี วิทยุติดตามตัวก็ไม่ฮิต

“ศูนย์ 8 เรียก 604 เรียก 604 ว.2 ….604 ถ้า ว.2 ให้ ว.13 ศูนย์ 8 ด้วย มี ว.29…” เสียงพนักงานวิทยุของโรงพิมพ์ไทยรัฐจี้หนักขึ้น ขณะที่ศูนย์วิทยุของมูลนิธิร่วมกตัญญูก็รายงานเหตุการณ์ระทึกในวิกฤติจี้ตัวประกันต่อเนื่อง

ในที่สุด ผมตัดสินใจตอบวิทยุแทนแจ้งกำลังจะไปที่เกิดเหตุ ทั้งที่ยังติดต่อเจ้าของรหัสไม่ได้

“พี่บอยหรือครับ ผมโต้งที่ฝึกงานกับพี่ทีปครับ” ผมรีบโทรปรึกษาสวัสดิ์ ปั้นยศ พี่นักข่าวตระเวนเขตเหนือ

“ผมติดต่อพี่ทีปไม่ได้ครับ พี่ล่วงหน้าไปก่อนได้ไหม” ผมออกความเห็น

“เฮ้ย ได้น้อง พี่กำลังไป ฝากบอกทีปมันด้วย ถ้าเจอตัวก็ให้รีบตามมา”

เหมือนจะโล่งอกไปบ้างกับสถานการณ์ตึงเครียดครั้งนี้ ไม่นานนักข่าวหนุ่มตัวดีก็เดินลงมายังรถ

“โทษทีว่ะ ดันไปปิดเสียงวิทยุไว้”

“ผมประสานให้พี่บอยล่วงหน้าไปแล้วครับ”

“เออขอบใจว่ะ”คนข่าวหนุ่มเริ่มหน้าเครียด

สรุปว่า เหตุการณ์ระทึกขวัญคนร้ายใช้มีดจับผู้หญิงเป็นตัวประกันอยู่ท้ายรถกระบะที่กินเวลาอยู่ชั่วโมงกว่าถูกตำรวจฝ่ายสืบสวนโรงพักหัวหมากพุ่งชาร์จตะครุบตัวไอ้คลั่งช่วยเหลือเหยื่อสาวออกมาได้อย่างปลอดภัย

เป็นภาพวินาทีสำคัญที่เหล่าบรรดานักข่าวอาชญากรรมโหยหาอยู่เสมอ

“พี่บอยไปไม่ทันว่ะ” ประทีปเสียงอ่อย

ส่วนรถคันเราแค่ขยับไปไม่ถึงไหนเหตุการณ์ก็ยุติแล้ว

บ่ายวันรุ่งขึ้น วันสุดท้ายของชีวิตนักศึกษาฝึกงานในสำนักข่าวหัวเขียว ประทีปถูกเรียกตัวเข้าโรงพิมพ์แบบด่วนจี๋ พวกเรารู้ชะตากรรมดี หลังเห็นภาพข่าวหนังสือพิมพ์หัวสีทุกฉบับตีแผ่ชอตจ่าตำรวจสายสืบหัวหมากพุ่งเข้าชาร์จช่วยเหลือตัวประกันเป็นภาพซีรีส์ต่อเนื่อง

แต่ของไทยรัฐมีแค่ภาพผู้ต้องหานั่งอยู่บนโรงพักแล้ว

นักข่าวหนุ่มหล่อเดินหน้าละห้อยลงมาจากบันไดตึกกองบรรณาธิการ พวกเราขึ้นรถตระเวนแบบไม่มีใครส่งเสียงทำลายคลื่นความเงียบสักคนจนไปถึงโรงพักมักกะสัน หน้าของรุ่นพี่ฝึกงานผมหม่นหมองยืนล้วงกระเป๋านัยน์ตาแดงมองฟ้าที่ดาวเริ่มส่องประกายในคืนเดือนหงาย

“โทษทีว่ะ ที่นัดจะไปฉลองฝึกงานจบ ไว้โอกาสหน้าก็แล้วกันนะ”

“ไม่เป็นไรพี่ ผมเข้าใจ แล้วพี่เป็นยังไงบ้าง”

“โดนหัวหน้าด่าหูชาเลยว่ะ” เขาพูดแล้วถอดหายใจเฮือกใหญ่

“บางทีเราก็ไม่รู้จะเลือกอะไรระหว่างงานกับแฟน”

“เขาไม่เข้าใจพี่หรือ” ผมทำตัวเป็นที่ปรึกษาซะงั้น

บุรุษหนุ่มไม่ตอบ แต่พยักหน้าทิ้งความเงียบทำลายบทสนทนาเรื่องของหัวใจไปในบัดดล

ผมผ่านการฝึกงานตระเวนข่าวช่วงปิดเทอมเข้าไปใช้ชีวิตนักศึกษาปี 4 มหาวิทยาลัยกรุงเทพ แต่ไม่วายประสบปัญหามรสุมชีวิตเหมือนกัน

“คนของเธอมันไม่หนักแน่นเอง” เพื่อนสาวคนสนิทเตือนสติ

ผมนอนอยู่บนเตียงคนไข้โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ด้วยอาการเบลอ จำภาพสุดท้ายอยู่บนเตียงที่ห้องนอนบ้านวิทยาเขตเทคนิคกรุงเทพ

“เรามาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง” ผมพยายามลำดับเหตุการณ์

สะลืมสะลือลืมตาตื่นเห็นหน้าแม่กับพ่อซึม

“ลูกหลับไปไม่รู้เรื่องเลยหรือ”

ผมไม่ตอบ

ความรู้สึกตอนนั้นอยากหลับไม่ตื่น ไม่อยากรู้วันรู้คืน ไม่อยากฟื้นมาเจอภาพความเจ็บปวด

“ทำไมลูกต้องทำแบบนี้ด้วย”

“เอาน่าอย่าคิดมาก พักผ่อนทำใจให้สบาย” พ่อพยายามปลอบ

“ลูกเอ๋ย จำคำแม่ไว้ คนเราถ้ามันเป็นเนื้อคู่กัน มันก็หนีกันไม่พ้นหรอก ดูอย่างพ่อกับแม่ซิ แต่ถ้ามันไม่ใช่ มันก็คือไม่ใช่ ผู้หญิงมีให้เลือกอีกเยอะ อย่าคิดมาก พ่อแม่จะหัวใจสลายอยู่แล้ว เห็นสภาพลูกเป็นแบบนี้” เสียงแม่เริ่มเศร้า

แต่ผมนอนเป็นทองไม่รู้ร้อน หัวสมองนึกถึงภาพบาดตากับห้วงเวลาบาดใจ ยิ่งนึกย้อนไปถึงช่วงวันชื่นคืนสุขมันยิ่งเหมือนตอกย้ำให้เราทุกข์หนัก

ผมนอนน้ำตาคลอไม่พูดไม่จากับใครอยู่หลายวันในห้องพักคนไข้โรงพยาบาลดังถนนสาทร มีเพื่อนฝูงมาเยี่ยมกันมากหน้าหลายตาพยายามให้กำลังใจสารพัด ทว่าผมกลับไปคิดนึกถึงผู้หญิงคนเดียวว่า ทำไมใจจืดใจดำไม่มาเยี่ยมกันบ้าง

หรือเธอคิดว่า ผมต้องการเรียกร้องความสนใจที่ทำแบบนี้

“เราอย่าทำตัวให้ผู้หญิงเห็นว่าอ่อนแอซิ ผู้ชายที่ไม่รักตัวเองแล้วผู้หญิงคนไหนมันจะมาฝากความหวังในอนาคตได้” เพื่อนคนหนึ่งยัดเหตุผล

“เขาต้องการผู้ชายที่ทำตัวเป็นผู้นำนะโว้ย”อีกคนรีบใส่แรง

“ถ้าวันหนึ่งแกได้อยู่กับเขา แล้วแกเกิดทำอะไรแบบนี้อีก เขาจะรู้สึกอย่างไร”

ทว่าหัวใจผมยังคงห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรงฟังคำเพื่อนเหมือนแค่ลมพัดผ่าน

นอนซมซานให้น้ำเกลืออยู่โรงพยาบาลนาน 3 วันเต็ม ไข้ใจยังไม่จางหายไปจากสมอง ผมได้แต่คิดถึงวันเก่าก่อนจะมีนักเรียนนายเรืออากาศเพื่อนน้องของเพื่อนในกลุ่มเข้ามาในชีวิตแล้วลากผมลงจมดิ่งอยู่ในโลกซึมเศร้าต้องไปเข้าเฝ้าจิตแพทย์พักใหญ่

ผมกลายเป็นคนบ้าที่ต้องกระดกยาระงับประสาทคลายความเครียด

“คนของเธอมันไม่หนักแน่นเอง อย่ามาโทษชั้น” เสียงของเพื่อนสาวที่ถูกผมมองเป็นต้นตอแห่งเหตุมาตลอดพยายามแก้ลำ

ผมจะไม่โกรธได้อย่างไรในเมื่อเพื่อนคนนี้รู้ดีแก่ใจแล้วทำไมต้องปิดบังกัน

อารมณ์รักรุนแรงในวัยนักศึกษาของผมน่ากลัวเกินกว่าจะควบคุมตัวเองอยู่ หลังเริ่มรู้ว่า รักล่มไปไม่รอดตลอดฝั่ง

บางวัน ผมต้องแวบออกจากบ้านไปนั่งทำสมาธิอยู่หน้าพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 8 ในรั้วโรงเรียนเทพศิรินทร์ถิ่นเก่าเพียงลำพังตอนกลางดึก บางคืนต้องนอนเอาหูเสียบซาวน์เบาท์ฟังเพลงอโหกุมาร ซ้ำไปซ้ำมาให้ใจเย็นลง แต่พอเวลาตื่นขึ้นมารุ่งเช้า ผมก็ต้องมาเผชิญความจริงที่ยอมรับไม่ได้

“นี่หรือ คือ สิ่งตอบแทนที่เราทุ่มเททำดีมาตลอด” ผมรู้สึกอ่อนต่อโลกนัก

“เราจะไม่เรียนแล้วล่ะ” ผมบอกกับเพื่อนในกลุ่ม

“โต้ง แกจะบ้าหรือ อีกเทอมเดียวก็จะจบแล้วนะ”

“เราทนไปเจอหน้าเขาไม่ได้ว่ะ”

“ไม่ได้ แกจะคิดแบบนั้นไม่ได้” เพื่อนเสียงดุ “แกรีบทำตัวให้เข้มแข็งเลย อย่าไปแคร์แสดงให้เขาเห็นว่า ขาดเขาเราก็ไม่ตาย”

ผมกลับยืนยันคำเดิม

“ใกล้สอบแล้วด้วย แกไม่รู้สึกหรือว่า พ่อแม่แกจะคิดยังไง”

ผมยังลังเลมันเป็นวิกฤติของความหักเหในชีวิตวัยเรียน

“อีกเทอมเดียวก็จะจบแล้วนะแก ทำไมคิดบ้า ๆ แค่ผู้หญิงคนเดียว” เพื่อนคนเดิมกระตุ้น

ผมกำลังทำลายอนาคตตัวเองเพราะผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่เคยสนใจไยดีเราอย่างนั้นหรือ ขณะที่พ่อแม่ญาติน้องเพื่อนฝูงที่คอยห่วงด้วยความกระวนกระวายใจ ทำไมผมดันมองผ่านราวกับโลกทั้งใบเหลือตัวเองเพียงลำพัง

คิดทำอะไรตามอำเภอใจไม่แคร์คนข้างหลัง

ผมคงไม่ใช่พ่อที่ดีของลูก ในเมื่อผมไม่ใช่ลูกที่ดีของพ่อแม่

 

RELATED ARTICLES