การตายของเจ้าพ่อเมืองหลวงแคล้ว ธนิกุล ทำเอารัฐบาลของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติยุคพลเอกสุจินดา คราประยูร เป็นผู้นำประเทศดูน่าเกรงขามมากขึ้น
บรรดาผู้มีอิทธิพลเจ้าพ่อมาเฟียชื่อดังพากันหัวหดเก็บตัวเงียบ
ส่งผลให้“บิ๊กตุ๋ย”พลเอกอิสระพงศ์ หนุนภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายพลทหารร่างเล็กกลายเป็นบิ๊กเบิ้มในทันที เวลาไปไหนมาไหนมักมีนักข่าวตามกันเป็นพรวน
กระแสข่าวเบื้องหลังสมัยนั้นมั่นใจว่า รัฐบาลทหารออกใบสั่งเช็กบิลผู้กว้างขวางอันดับ 1 ของยุทธจักรหวังตัดไม้ข่มนามเชือดไก่ให้ลิงดู
ผมฝึกงานข่าวเข้าเวรบ่ายวันอาทิตย์เขตชานเมือง นายพลนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้ารุ่น 5 ที่ผันตัวไปคุมกระทรวงคลองหลอด ภายหลังเพื่อนร่วมรุ่นสถาบันรั้วแดงกำแพงเหลืองปฏิบัติการรัฐประหารชิงอำนาจพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมสถานีตำรวจนครบาลพหลโยธินพอดี
รัฐมนตรีชื่อก้องเดินทะมัดทะแมงตรวจโรงพักยามอาทิตย์ลาลับ มีนายตำรวจเข้าแถวยืนตรงทำความเคารพกันอย่างแข็งขัน เสร็จสรรพก็เป็นธรรมเนียมของนักการเมืองที่ต้องตอบข้อซักถามกระจอกข่าวที่แห่กันไปสังเกตการณ์เต็มโรงพัก
“รัฐบาลไม่ได้อยู่เบื้องหลังการเสียชีวิตของแคล้วแน่นอนครับ ผมยืนยันได้” นายทหารใหญ่ปฏิเสธเสียงเข้ม
“เราพยายามเร่งรัดให้จับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีโดยเร็วแล้ว”เจ้าตัวย้ำ
ผมยืนอยู่ด้านหลังฟังคำสัมภาษณ์ของอดีตบิ๊กทหารผู้กุมชะตากรรมประเทศสมัยนั้นแบบเสียงดังฟังชัด พลเอกอิสระพงศ์ใช้เวลาพ่นน้ำลายไม่ถึงสิบนาทีก็สิ้นสุดภารกิจ ผมเดินขึ้นรถตระเวนอย่างภาคภูมิใจที่ได้มีโอกาสกระทบไหล่รัฐมนตรีครั้งแรกในชีวิต
“มท.1 ว่า อะไรบ้างวะ”
“อ๋อ … ผมไม่ได้จดครับพี่”
“เฮ้ย แล้วทำไมเอ็งไม่จดวะ” เสียงประทีป สุวรรณพืช นักข่าวหนุ่มหนังสือพิมพ์ไทยรัฐที่เป็นติวเตอร์ให้ผมฝึกงานเอ็ดตะโรลั่นรถ นับเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพี่แกโมโหส่งสัญญาณความไม่พอใจ ผมอึกอักเงียบสักพัก
“ผมจำได้ครับพี่”
“แน่นะเอ็ง ถ้าอย่างนั้นจดมาให้ข้าเลย เขาให้สัมภาษณ์ว่า อะไร เอาให้ละเอียดนะข้าจะได้ส่งโรงพิมพ์” ประทีปยังคงขุ่น
“ครับพี่” ผมรับคำแล้วพยายามทบทวนความทรงจำที่เพิ่งผ่านไปไม่กี่นาทีถ่ายทอดคำสัมภาษณ์ของนายพลทหารใหญ่ลงในสมุดจดข่าวก่อนเล่าให้พี่แกฟังแบบกระท่อนกระแท่นเอาตัวรอดไปหวุดหวิด แต่ถือเป็นบทเรียนสำคัญให้เราจำไปจนตาย หากจะเลือกเดินในสนามข่าวแห่งนี้
อย่าเอาแต่ยืนแอ็กออกหน้ากล้องทีวีแล้วไม่ยอมจดข่าว
ตลอดระยะเวลาเกือบ 2 เดือนที่ได้ไปฝึกงานตระเวนข่าวสังกัดหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของวงการน้ำหมึกเมืองไทย ผมเรียนรู้ชีวิตคนข่าวจากประทีป สุวรรณพืช และผองพี่ในค่ายไทยรัฐอยู่ไม่น้อย นอกจากประสบการณ์หาข่าวสารพัดรูปแบบแล้ว ผมยังสัมผัสอีกว่า อาชีพนักข่าวไม่ง่ายที่จะหาสาวคนรักเข้าใจ
ผมจะเห็นประทีปทุกข์ทุกครั้งเวลาเข้าเวรแล้วแฟนสาวของเขาจะออกอาการงอนเหมือนฝ่ายชายไม่มีเวลาให้เพียงพอ แต่พี่แกไม่เคยระบายอะไรให้ผมฟังสักครั้ง กระทั่งช่วงที่ผมใกล้เสร็จห้วงเวลาฝึกงานเพียงวันเดียว
บ่ายวันอาทิตย์ที่ดูเหมือนไม่น่ามีอะไรวุ่นวายสำหรับคนข่าวอาชญากรรม ประทีปบอกให้โชเฟอร์รถตระเวนที่มีผมนั่งอยู่ด้วยไปยังโรงพยาบาลวิชัยยุทธ
“ฝากฟัง ว.ด้วยนะโว้ย” พี่นักข่าวหัวเด็ดหันมาบอก
“แฟนพี่ไม่สบาย ต้องมาดูเขาหน่อย” ประทีปย้ำก่อนที่ตัวแกจะขึ้นห้องพักผู้ป่วยหายไปนานนับชั่วโมง ทิ้งให้ผมกับคนขับรถนั่งรออยู่ในรถ
“พระนครแจ้ง น.สื่อมวลเขต บก.น.เหนือ รับแจ้งจากนคร 46 ขณะนี้มีเหตุคนร้ายใช้มีดจับหญิงเป็นตัวประกัน เหตุเกิดท้องที่รับผิดชอบ สน.หัวหมาก สื่อมวลชนใดต้องการ ว.29 ให้ ว.25 ที่เกิดเหตุ พระนครทวน ว.8 ….”
“เอาแล้วไง” ผมอุทาน
“นั่นดิ” หนุ่มคนขับรถหันมามองหน้า
ยังไม่ทันที่จะขยับอะไรเสียงเร่งเร้าระทึกใจก็ดังขึ้นมาทันควัน
“ศูนย์ 8 เรียก 604 เรียก 604 ว.2 เปลี่ยน ….”
“ทำไงดี” ผมร้อนใจ เพราะโรงพิมพ์เรียกวิทยุผ่านเข้ามาในรถ ไอ้เราจะชิงตอบก็กลัวถูกซัก ผมไม่รู้ว่า พี่แกขึ้นไปห้องไหน ชั้นไหน สมัยนั้นโทรศัพท์มือถือก็ไม่มี วิทยุติดตามตัวก็ไม่ฮิต
“ศูนย์ 8 เรียก 604 เรียก 604 ว.2 ….604 ถ้า ว.2 ให้ ว.13 ศูนย์ 8 ด้วย มี ว.29…” เสียงพนักงานวิทยุของโรงพิมพ์ไทยรัฐจี้หนักขึ้น ขณะที่ศูนย์วิทยุของมูลนิธิร่วมกตัญญูก็รายงานเหตุการณ์ระทึกในวิกฤติจี้ตัวประกันต่อเนื่อง
ในที่สุด ผมตัดสินใจตอบวิทยุแทนแจ้งกำลังจะไปที่เกิดเหตุ ทั้งที่ยังติดต่อเจ้าของรหัสไม่ได้
“พี่บอยหรือครับ ผมโต้งที่ฝึกงานกับพี่ทีปครับ” ผมรีบโทรปรึกษาสวัสดิ์ ปั้นยศ พี่นักข่าวตระเวนเขตเหนือ
“ผมติดต่อพี่ทีปไม่ได้ครับ พี่ล่วงหน้าไปก่อนได้ไหม” ผมออกความเห็น
“เฮ้ย ได้น้อง พี่กำลังไป ฝากบอกทีปมันด้วย ถ้าเจอตัวก็ให้รีบตามมา”
เหมือนจะโล่งอกไปบ้างกับสถานการณ์ตึงเครียดครั้งนี้ ไม่นานนักข่าวหนุ่มตัวดีก็เดินลงมายังรถ
“โทษทีว่ะ ดันไปปิดเสียงวิทยุไว้”
“ผมประสานให้พี่บอยล่วงหน้าไปแล้วครับ”
“เออขอบใจว่ะ”คนข่าวหนุ่มเริ่มหน้าเครียด
สรุปว่า เหตุการณ์ระทึกขวัญคนร้ายใช้มีดจับผู้หญิงเป็นตัวประกันอยู่ท้ายรถกระบะที่กินเวลาอยู่ชั่วโมงกว่าถูกตำรวจฝ่ายสืบสวนโรงพักหัวหมากพุ่งชาร์จตะครุบตัวไอ้คลั่งช่วยเหลือเหยื่อสาวออกมาได้อย่างปลอดภัย
เป็นภาพวินาทีสำคัญที่เหล่าบรรดานักข่าวอาชญากรรมโหยหาอยู่เสมอ
“พี่บอยไปไม่ทันว่ะ” ประทีปเสียงอ่อย
ส่วนรถคันเราแค่ขยับไปไม่ถึงไหนเหตุการณ์ก็ยุติแล้ว
บ่ายวันรุ่งขึ้น วันสุดท้ายของชีวิตนักศึกษาฝึกงานในสำนักข่าวหัวเขียว ประทีปถูกเรียกตัวเข้าโรงพิมพ์แบบด่วนจี๋ พวกเรารู้ชะตากรรมดี หลังเห็นภาพข่าวหนังสือพิมพ์หัวสีทุกฉบับตีแผ่ชอตจ่าตำรวจสายสืบหัวหมากพุ่งเข้าชาร์จช่วยเหลือตัวประกันเป็นภาพซีรีส์ต่อเนื่อง
แต่ของไทยรัฐมีแค่ภาพผู้ต้องหานั่งอยู่บนโรงพักแล้ว
นักข่าวหนุ่มหล่อเดินหน้าละห้อยลงมาจากบันไดตึกกองบรรณาธิการ พวกเราขึ้นรถตระเวนแบบไม่มีใครส่งเสียงทำลายคลื่นความเงียบสักคนจนไปถึงโรงพักมักกะสัน หน้าของรุ่นพี่ฝึกงานผมหม่นหมองยืนล้วงกระเป๋านัยน์ตาแดงมองฟ้าที่ดาวเริ่มส่องประกายในคืนเดือนหงาย
“โทษทีว่ะ ที่นัดจะไปฉลองฝึกงานจบ ไว้โอกาสหน้าก็แล้วกันนะ”
“ไม่เป็นไรพี่ ผมเข้าใจ แล้วพี่เป็นยังไงบ้าง”
“โดนหัวหน้าด่าหูชาเลยว่ะ” เขาพูดแล้วถอดหายใจเฮือกใหญ่
“บางทีเราก็ไม่รู้จะเลือกอะไรระหว่างงานกับแฟน”
“เขาไม่เข้าใจพี่หรือ” ผมทำตัวเป็นที่ปรึกษาซะงั้น
บุรุษหนุ่มไม่ตอบ แต่พยักหน้าทิ้งความเงียบทำลายบทสนทนาเรื่องของหัวใจไปในบัดดล
ผมผ่านการฝึกงานตระเวนข่าวช่วงปิดเทอมเข้าไปใช้ชีวิตนักศึกษาปี 4 มหาวิทยาลัยกรุงเทพ แต่ไม่วายประสบปัญหามรสุมชีวิตเหมือนกัน
“คนของเธอมันไม่หนักแน่นเอง” เพื่อนสาวคนสนิทเตือนสติ
ผมนอนอยู่บนเตียงคนไข้โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ด้วยอาการเบลอ จำภาพสุดท้ายอยู่บนเตียงที่ห้องนอนบ้านวิทยาเขตเทคนิคกรุงเทพ
“เรามาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง” ผมพยายามลำดับเหตุการณ์
สะลืมสะลือลืมตาตื่นเห็นหน้าแม่กับพ่อซึม
“ลูกหลับไปไม่รู้เรื่องเลยหรือ”
ผมไม่ตอบ
ความรู้สึกตอนนั้นอยากหลับไม่ตื่น ไม่อยากรู้วันรู้คืน ไม่อยากฟื้นมาเจอภาพความเจ็บปวด
“ทำไมลูกต้องทำแบบนี้ด้วย”
“เอาน่าอย่าคิดมาก พักผ่อนทำใจให้สบาย” พ่อพยายามปลอบ
“ลูกเอ๋ย จำคำแม่ไว้ คนเราถ้ามันเป็นเนื้อคู่กัน มันก็หนีกันไม่พ้นหรอก ดูอย่างพ่อกับแม่ซิ แต่ถ้ามันไม่ใช่ มันก็คือไม่ใช่ ผู้หญิงมีให้เลือกอีกเยอะ อย่าคิดมาก พ่อแม่จะหัวใจสลายอยู่แล้ว เห็นสภาพลูกเป็นแบบนี้” เสียงแม่เริ่มเศร้า
แต่ผมนอนเป็นทองไม่รู้ร้อน หัวสมองนึกถึงภาพบาดตากับห้วงเวลาบาดใจ ยิ่งนึกย้อนไปถึงช่วงวันชื่นคืนสุขมันยิ่งเหมือนตอกย้ำให้เราทุกข์หนัก
ผมนอนน้ำตาคลอไม่พูดไม่จากับใครอยู่หลายวันในห้องพักคนไข้โรงพยาบาลดังถนนสาทร มีเพื่อนฝูงมาเยี่ยมกันมากหน้าหลายตาพยายามให้กำลังใจสารพัด ทว่าผมกลับไปคิดนึกถึงผู้หญิงคนเดียวว่า ทำไมใจจืดใจดำไม่มาเยี่ยมกันบ้าง
หรือเธอคิดว่า ผมต้องการเรียกร้องความสนใจที่ทำแบบนี้
“เราอย่าทำตัวให้ผู้หญิงเห็นว่าอ่อนแอซิ ผู้ชายที่ไม่รักตัวเองแล้วผู้หญิงคนไหนมันจะมาฝากความหวังในอนาคตได้” เพื่อนคนหนึ่งยัดเหตุผล
“เขาต้องการผู้ชายที่ทำตัวเป็นผู้นำนะโว้ย”อีกคนรีบใส่แรง
“ถ้าวันหนึ่งแกได้อยู่กับเขา แล้วแกเกิดทำอะไรแบบนี้อีก เขาจะรู้สึกอย่างไร”
ทว่าหัวใจผมยังคงห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรงฟังคำเพื่อนเหมือนแค่ลมพัดผ่าน
นอนซมซานให้น้ำเกลืออยู่โรงพยาบาลนาน 3 วันเต็ม ไข้ใจยังไม่จางหายไปจากสมอง ผมได้แต่คิดถึงวันเก่าก่อนจะมีนักเรียนนายเรืออากาศเพื่อนน้องของเพื่อนในกลุ่มเข้ามาในชีวิตแล้วลากผมลงจมดิ่งอยู่ในโลกซึมเศร้าต้องไปเข้าเฝ้าจิตแพทย์พักใหญ่
ผมกลายเป็นคนบ้าที่ต้องกระดกยาระงับประสาทคลายความเครียด
“คนของเธอมันไม่หนักแน่นเอง อย่ามาโทษชั้น” เสียงของเพื่อนสาวที่ถูกผมมองเป็นต้นตอแห่งเหตุมาตลอดพยายามแก้ลำ
ผมจะไม่โกรธได้อย่างไรในเมื่อเพื่อนคนนี้รู้ดีแก่ใจแล้วทำไมต้องปิดบังกัน
อารมณ์รักรุนแรงในวัยนักศึกษาของผมน่ากลัวเกินกว่าจะควบคุมตัวเองอยู่ หลังเริ่มรู้ว่า รักล่มไปไม่รอดตลอดฝั่ง
บางวัน ผมต้องแวบออกจากบ้านไปนั่งทำสมาธิอยู่หน้าพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 8 ในรั้วโรงเรียนเทพศิรินทร์ถิ่นเก่าเพียงลำพังตอนกลางดึก บางคืนต้องนอนเอาหูเสียบซาวน์เบาท์ฟังเพลงอโหกุมาร ซ้ำไปซ้ำมาให้ใจเย็นลง แต่พอเวลาตื่นขึ้นมารุ่งเช้า ผมก็ต้องมาเผชิญความจริงที่ยอมรับไม่ได้
“นี่หรือ คือ สิ่งตอบแทนที่เราทุ่มเททำดีมาตลอด” ผมรู้สึกอ่อนต่อโลกนัก
“เราจะไม่เรียนแล้วล่ะ” ผมบอกกับเพื่อนในกลุ่ม
“โต้ง แกจะบ้าหรือ อีกเทอมเดียวก็จะจบแล้วนะ”
“เราทนไปเจอหน้าเขาไม่ได้ว่ะ”
“ไม่ได้ แกจะคิดแบบนั้นไม่ได้” เพื่อนเสียงดุ “แกรีบทำตัวให้เข้มแข็งเลย อย่าไปแคร์แสดงให้เขาเห็นว่า ขาดเขาเราก็ไม่ตาย”
ผมกลับยืนยันคำเดิม
“ใกล้สอบแล้วด้วย แกไม่รู้สึกหรือว่า พ่อแม่แกจะคิดยังไง”
ผมยังลังเลมันเป็นวิกฤติของความหักเหในชีวิตวัยเรียน
“อีกเทอมเดียวก็จะจบแล้วนะแก ทำไมคิดบ้า ๆ แค่ผู้หญิงคนเดียว” เพื่อนคนเดิมกระตุ้น
ผมกำลังทำลายอนาคตตัวเองเพราะผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่เคยสนใจไยดีเราอย่างนั้นหรือ ขณะที่พ่อแม่ญาติน้องเพื่อนฝูงที่คอยห่วงด้วยความกระวนกระวายใจ ทำไมผมดันมองผ่านราวกับโลกทั้งใบเหลือตัวเองเพียงลำพัง
คิดทำอะไรตามอำเภอใจไม่แคร์คนข้างหลัง
ผมคงไม่ใช่พ่อที่ดีของลูก ในเมื่อผมไม่ใช่ลูกที่ดีของพ่อแม่