คำชี้แจงข้อข้องใจ

 

 

ถูกป้ายผิดพัวพันเส้นเงินบ่อนพนันออนไลน์กลายเป็นข่าวดังส่งท้ายปี

พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 4 ยังเจอพิษข่มขู่คุกคามพนักงานอัยการที่ปรึกษาสำนวนคดี

เจ้าตัวต้องออกมาแจงข้อเท็จจริงสรุปความว่า เนื่องจากตัวเองกับพวกตำรวจ 8 นายถูกกล่าวหาดำเนินคดี เมื่อ 25 กันยายน 2566 มีการสอบสวนเรื่อยมาจนกระทั่งวันที่ 7 ธันวาคม 2566  พนักงานสืบสวนสอบสวนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติตั้งขึ้นมีความเห็นสรุปสำนวนคดีส่งพนักงานอัยการ

“ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในขบวนการสอบสวน พวกผมก็ต่อสู้กันตามพยานหลักฐานอยูในขบวนการยุติธรรม ไม่ได้ออกไปให้สัมภาษณ์ หรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ต่อสู้ไปตามขบวนการตามสิทธิของผู้ต้องหาและประชาชนที่จะพึ่งมีในการต่อสู้คดี”

ทำหนังสือลงวันที่ 15 ธันวาคม 2566  เป็นการลงชื่อทั้ง 8 คนอย่างเปิดเผยถึงท่านอัยการสูงสุด  ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่มีพนักงานอัยการเข้าเป็นที่ปรึกษา หรือร่วมประชุมกับพนักงานสอบสวน มีการมอบหมายโดยชอบหรือไม่ และมีหนังสือสั่งการมอบหมายให้บุคคลใด

ขณะเดียวกันยังทำหนังสือถึง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติร้อง ขอให้เปลี่ยนตัวพนักงานสืบสวนสอบสวน ที่มีความขัดแย้งที่เกิดจากการร่วมทำงานในคดีสำคัญต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม

“ในหนังสือที่ร้องถึงท่านอัยการสูงสุดนั้นเป็นหนังสือปิดผนึก  แนบภาพถ่ายในวันนั้นไปให้ดูด้วย เป็นภาพถ่ายพนักงานอัยการทั้งสองท่านและผู้บัญชาการตำรวจยืนพูดคุยกันในลักษณะลงไปต้อนรับผู้ที่เข้ามาร่วมประชุม  เป็นภาพถ่ายที่อยู่ในสถานที่เปิดเผย สถานที่ราชการ ตัดมาเฉพาะภาพที่เกี่ยวข้องเพื่อแนบประกอบกับหนังสือที่สอบถามท่านอัยการ”

เจ้าตัวยืนยัน ไม่ได้เป็นภาพในลักษณะแอบถ่าย หรือสื่อในลักษณะที่เป็นเชิงคุกคามข่มขู่ ไม่ได้เป็นภาพในชีวิตประจำวัน ไม่ได้เป็นภาพถ่ายที่เกิดจากการเฝ้าสะกดรอยติดตาม หรือถ่ายบุคคลที่เกี่ยวข้องในครอบครัว หรือก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตแต่อย่างใด

ขณะเดียวกัน รองผู้กำกับการ (สอบสวน) กองกำกับการ 3 กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2 ที่ถูกพาดพิงเป็นคนบันทึกภาพเป็นเหตุให้ถูกคำสั่งไปช่วยราชการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้ทำหนังสือรายงานข้อเท็จจริงถึงผู้บังคับบัญชา

กรณีถ่ายภาพบุคคลส่งต่อให้กับบุคคลอื่น และบุคคลที่ถูกถ่ายภาพนั้นถูกนำภาพดังกล่าวไปใช้เป็นหลักฐานในการร้องเรียนวินัย จนทำให้ได้รับความเดือดร้อน ขออนุญาตชี้แจงว่า นอกจากการปฏิบัติงานในหน้าที่หลักคือ งานสอบสวน ยังมีความสามารถในการทำสื่อนำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นการทำภาพ วิดีโอ การทำพรีเซนเตชั่นด้วยโปรแกรมต่างๆ จนทำให้ผู้บังคับบัญชาในระดับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเรียกใช้งานอยู่บ่อยครั้ง

“ทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสรู้จักกับรุ่นพี่ตำรวจที่อยู่ในสายงานด้านการประชาสัมพันธ์หลายท่าน ในหลายสำนักงาน ส่วนใหญ่จะเป็นการติดต่อด้วยการโทรศัพท์เข้ามาหา จากนั้นจะส่งข้อมูลต่างๆ ผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์”

เจ้าตัวแจงว่า ต่อมาเมื่อวันเกิดเหตุ ขณะปฏิบัติหน้าที่ทำสื่อประชาสัมพันธ์ของต้นสังกัด และได้ติดตามท่านผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2 จากสำนักงานชั้น 5 ลงมาบริเวณลานตึกชั้นล่างไปเข้าร่วมประชุมที่ห้องประชุมชั้น 4  อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ  ระหว่างทางจะไปที่รถนั้น เห็นผู้บังคับบัญชาท่านหนึ่งได้เดินเข้าไปพูดคุยกับกลุ่มบุคคลหนึ่ง

“ข้าพเจ้าไม่รู้จัก และไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด แต่เชื่อว่าเป็นแขกผู้ใหญ่ของนาย ข้าพเจ้าได้หยุดยืนรออยู่บริเวณด้านหน้าประตูทางเข้ ในระยะห่างประมาณ 8-10 เมตร ระหว่างนั้นมีบุคคลโทรเข้ามาที่โทรศัพท์ของข้าพเจ้าผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์”

เขาบอกเป็น นายตำรวจคนหนึ่งในกลุ่มผู้ต้องหาที่มีความสัมพันธ์ในฐานะที่ใช้จัดทำสื่อในการประชาสัมพันธ์ต่างๆ ของ สำนักงานผู้บังคับบัญชาระดับสูง แต่ขณะนั้นเห็นว่านายยังติดคุยธุระอยู่ และเกรงว่าเสียงโทรศัพท์จะดังรบกวน ได้กดตัดสายทิ้ง ก่อนถ่ายภาพที่ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2 ยืนอยู่เป็นมุมกว้างติดกลุ่มบุคคลที่ยืนอยู่บริเวณดังกล่าว

หลังจากนั้น เขาได้ส่งภาพไปยังไลน์ส่วนตัวของนายตำรวจรุ่นพี่ มีเจตนาเพื่อรายงานให้ทราบว่า ยังไม่สะดวกรับสาย เนื่องจากกำลังติดภารกิจอยู่กับนาย แล้วปฏิบัติหน้าที่ติดตามไปร่วมประชุม

กระทั่งว่างเว้นจากภารกิจได้โทรศัพท์กลับไปหานายตำรวจรุ่นพี่ สั่งงานกันตามปกติจากวันนั้นถึงปัจจุบันไม่เคยพูดถึงรูปดังกล่าวที่ส่งไปแต่อย่างใด  และยังคงส่งงานเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์มาให้ ช่วยทำงานอยู่เป็นระยะ ข้าพเจ้าไม่เคยปฏิเสธ และรับช่วยเหลือทำงานอยู่ตลอด”

รองผู้กำกับสอบสวนตำรวจไซเบอร์มาทราบภายหลังจากผู้บังคับบัญชาว่า บุคคลในภาพดังกล่าวที่ถ่ายไว้เป็นอัยการชั้นผู้ใหญ่ และถูกนำภาพดังกล่าวไปใช้ในการร้องเรียนทางวินัย  ทำให้รู้สึกผิดในสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นต้นเหตุในการทำให้บุคคลอื่นได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำที่ไม่ทันยั้งคิดของ

ขอยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้มีเจตนาในการที่จะทำให้ผู้หนึ่งผู้ใดได้รับความเดือดร้อนจากการถ่ายภาพ และขอแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการยินยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าถึงข้อมูลโทรศัพท์ตัวเอง เพื่อตรวจสอบและดูประวัติการสนทนาในวันที่เกิดขึ้น มาประกอบการชี้แจงในครั้งนี้

กลายเป็นที่มาของเบื้องหลัง “ภาพหลุด” ไปถึงมือกลุ่มผู้ต้องหาได้อย่างไร

 

RELATED ARTICLES