เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2549 วงการตำรวจสูญเสียปูชนียบุคคลสำคัญระดับตำนาน
ผ่านไป 12 ปีแล้ว พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช อดีตนายตำรวจมือปราบชื่อดังในพื้นที่ภาคใต้ยังคงอยู่ในใจตำรวจรุ่นหลังไม่น้อย
แม้อาจไม่เคยสัมผัสทำงานด้วยกัน
แต่ชื่อของ “ขุนพันธรักษ์ราชเดช” ตำรวจน้อยรายที่จะไม่ศึกษาค้นคว้า
เจ้าตัวสิ้นลมที่บ้านเลขที่ 764/5 ซอยราชเดช ถนนราชดำเนิน ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ในวัย 103 ปี
ประวัติเดิมชื่อ นายบุตร์ พันธรักษ์ ชาวนครศรีธรรมราช หลังจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจห้วยจระเข้ จังหวัดนครปฐม ในปี 2472 บรรจุเป็นนักเรียนทำการนายร้อยที่กองบังคับการตำรวจภูธรมณฑลนครศรีธรรมราช ประจำจังหวัดสงขลา อยู่ 6 เดือน
ก่อนย้ายมาเป็นผู้บังคับหมวดกองเมืองจังหวัดพัทลุง ปราบปรามผู้ร้ายสำคัญ คือ “เสือสัง” และ“เสือพุ่ม” นักโทษแหกคุกมาจากเมืองตรังหนีมากบดานอยู่ซุ้มกำนันตำบลป่าพยอม อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง
ทำให้ผู้หมวดหนุ่มเป็นที่ยอมรับ
หลังจากนั้นไล่ “จับตาย”คนร้ายคดีสำคัญอีก 16 ราย อาทิ เสือเมือง เสือทอง เสือย้อย กระทั่งรับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “ขุนพันธรักษ์ราชเดช”
บวชอยู่ 1 พรรษาลาสิกขาไปเป็นหัวหน้ากองตรวจ ประจำกองบังคับการตำรวจภูธรมณฑลนครศรีธรรมราช ประจำจังหวัดสงขลา ปราบผู้ร้ายทางการเมืองที่จังหวัดนราธิวาส ระดับหัวหน้าโจรชื่อ “อะแวสะดอ ตาและ” เที่ยวปล้นฆ่าเฉพาะคนไทยพุทธ
จนได้รับการยกย่องจากชาวไทยมุสลิมว่า “รายอกะจิ”
หรือ “อัศวินพริกขี้หนู”
ปี 2482 ย้ายคืนถิ่นพัทลุงอีกครั้งปราบปราม “เสือสาย”และ “เสือเอิบ” ก่อนจะย้ายไปเป็นผู้กำกับตำรวจภูธรจังหวัดพิจิตรปราบ “เสือโน้ม”
ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองผู้อำนวยการกองปราบพิเศษของกรมตำรวจ ลุยปราบชุมโจรสุพรรณบุรีที่ออกอาละวาดปล้นฆ่าชาวบ้านรายวัน อาทิ เสือฝ้าย เสือผ่อน เสือครึ้ม เสือปลั่ง เสือใบ เสืออ้วน เสือไหว เสือมเหศวร รวมทั้งเสือไกร และเสือวัน แห่งชุมโจรอำเภอพรานกระต่าย
บรรดาชุมเสือถึงกับยอมสยบพร้อมตั้งฉายาให้ว่า “ขุนพันธดาบแดง”
พอถึงปี 2491 พัทลุงมีโจรผู้ร้ายกำเริบชุกชุมขึ้นอีก
ชาวพัทลุงเข้าชื่อกันทำหนังสือร้องเรียนต่ออธิบดีกรมตำรวจขอตัว “ขุนพันธ์” กลับไปเพื่อช่วยปราบปรามโจรผู้ร้าย กรมตำรวจอนุมัติตามคำร้องขอ นายตำรวจมือปราบชื่อกระฉ่อนได้ย้ายมาเป็นผู้กำกับตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุงอีกวาระ
ปราบปรามเสือร้ายสิ้นชื่อไปหลายคน
ตำแหน่งสุดท้ายนั่งเก้าอี้ผู้บังคับการตำรวจภูธรเขต 8 เลื่อนยศเป็น พล.ต.ต.ก่อนเกษียณอายุราชการในปี 2507
ตลอดชีวิตการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ปฏิบัติหน้าที่อย่างเอาจริงเอาจัง หาญกล้าเสียสละเพื่อประชาชน ยึดมั่นในปณิธานว่า
“เคารพเอื้อเฟื้อต่อหน้าที่ กรุณาปรานีต่อประชาชน อดทนต่อความเจ็บปวด ไม่หวั่นไหวต่อความลำบาก ไม่มักมากในลาภผล บำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชน”
เป็นแบบอย่างมือปราบประดับวงการสีกากี
ที่วันนี้เริ่มหลงเหลือน้อยเต็มที