เส้นทางแม่ทัพเมืองหลวง (1)

มันเป็นพรหมลิขิตหรือชะตาชีวิตกำหนดได้เอง

เส้นทางของ พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น แม้ไม่ได้สวยหรู หนักไปทางเชิงบู๊ออกลูกนักเลงก่อนจะข้ามกลับมานั่งตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล

คุมทัพหน่วยตำรวจเมืองหลวงก่อนเกษียณอายุราชการปีหน้า

เจ้าตัวแทบจะล้มลุกคลุกคลานเผชิญอุปสรรคสารพัดมากมาย แต่ถือว่า เป็นชีวิตที่ไม่ธรรมดา ผ่านร้อนผ่านหนาวเจียนอยู่เจียนไปจากเส้นทางผู้พิทักษ์สันติราษฎร์หลายครั้ง

ไม่ต่างชะตากรรมเพื่อน นักเรียนนายร้อยตำรวจร่วมรุ่น 36 ที่เกือบโดนไล่ออกจากรั้วสามพรานยกชุด หากไม่ได้ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (วาสน์ วาสโน) สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 18 เสด็จทรงขอบิณฑบาตให้

วันนี้อาจไม่มี พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา นั่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไม่มีขุมกำลังนักสืบและมือปราบพระกาฬ อาทิ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย พล.ต.ท.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข พล.ต.ท.รณศิลป์ ภู่สาระ อยู่ในทำเนียบเหล่าผู้พิทักษ์สีกากี

สำหรับเจ้าของรหัส น. 1 คนใหม่ มีเลือดเนื้อเชื้อไขตำรวจเต็มตัว เมื่อเป็นลูกชายคนเดียวของ ด.ต.เสริม วงษ์ปิ่น ตำรวจกองกำกับการม้า กองบังคับการสายตรวจปฏิบัติการพิเศษ ที่ผู้พ่อหมายมั่นอยากปั้นให้เจริญรอยตาม

เกิดที่อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ย้ายมาอยู่แฟลตตำรวจม้าที่ซอยโปโล ย่านบ่อนไก่ เริ่มเรียนหนังสือโรงเรียนดลวิทยา แถวคลองตัน

ต้องนั่งรถเมล์ไปเรียนทุกวัน มีกำหนดระยะเวลาเดินทางกลับถึงบ้านไม่เกิน 45 นาที เพราะพ่อจะดุมาก ไปไหนไม่ได้

พอจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 เข้าสมัครสอบโรงเรียนเตรียมทหาร แต่ไม่ติด ต้องย้ายไปเรียนต่อมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนนนทรีวิทยา เตรียมตัวเพื่อจะมาสอบใหม่ในปีหน้า ทว่าเริ่มเกเรแล้ว ตามประสาวัยรุ่น มีกลุ่มเพื่อนทั้งผู้หญิง ผู้ชาย แต่ได้เพื่อนมาช่วยติวพาไปนั่งหองสมุดสวนลุมพินีช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์

พอถึงวันสอบชีวิตขลุกขลักราวกับมีอุปสรรคมาขัดขวาง

สมัยนั้น เขาต้องทำงานขับรถสองแถวส่งดอกไม้ ส่งผักที่ปากคลองตลาดและหัวลำโพง ตอนเช้ายังขับรถส่งของอยู่ตามปกติ ปรากฏว่า รถชนแยกหัวลำโพง ดีที่ไปกับเพื่อนอีกคนที่เรียนอยู่ด้วยกัน   

เพื่อนให้ขึ้นมอเตอร์ไซค์กลับมาเปลี่ยนชุดไปสอบก่อน เรื่องอุบัติเหตุทิ้งไว้ตรงนั้น

  ทั้งที่ความจริงเขาไม่อยากเป็นตำรวจ อยากทำธุรกิจส่วนตัว

แต่พ่อหวังในตัวลูกชายคนนี้สูงมาก มี “แผ้ว แผ้วนพสุข” ผู้เป็นตาอดีตตำรวจม้าอัศวินแหวนเพชรของ “เผ่า ศรียานนท์” มุ่งหมายให้มีทายาทรับราชการตำรวจสืบทอดต่อสู่รุ่นลูก รุ่นหลาน

ตรงกันข้ามกับความทรงจำในอดีตของเขา

เห็นพ่ออยู่สภาพใส่กางเกงบ็อกเซอร์ เสื้อยืดสีขาวเพียงตัวเดียว เนื้อตัวมอมแมมออกมาจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลเป็นลอตสุดท้ายในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516

กองบัญชาการตำรวจนครบาลแตกแล้ว ถูกเผาทำลาย

ขณะนั้นอายุเพียง 14 ปี เขาเอาแต่นั่งร้องไห้ พร้อมตั้งปณิธานไว้ว่า จะไม่เป็นข้าราชการตำรวจ หรือทหารเด็ดขาด

จวบจนวันสอบถึงไม่ตั้งใจเท่าไรนัก

“แต่ชีวิตมันเหมือนเลี่ยงไม่ได้ บางทีเป็นเหมือนฟ้าลิขิต”  

RELATED ARTICLES