(19)  ลีลาชีวิต….อนิจจัง

ม้ “นักหนังสือพิมพ์” จะมีตารางการทำงานอยู่กับโต๊ะ อยู่ในห้องโถงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก ไม่เหมือนชีวิต “นักข่าว” ที่โลดแล่นอยู่ตามแหล่งข่าว มันเป็นบรรยากาศที่แตกต่างกัน    แต่ผมไม่คิดว่า งานเกาะโต๊ะของหัวหน้าข่าวหน้า  1 เป็นงานจำเจน่าเบื่อหน่ายกลับสนุกกับงานที่ได้สัมผัสกับข่าวสารทั้งโลกที่ไม่ซ้ำซากหรือจำเจ

เมื่อทำงานอย่างสนุก ผมก็มีความสุขกับงาน

ทางด้านจิตใจก็ไม่มีอะไรมาบีบคั้น เพราะฝ่ายนายทุนไม่ค่อยมายุ่มย่ามกับกองบรรณาธิการ “นายห้างแสง เหตระกูล” มาโรงพิมพ์ทุกวันพร้อมกับภรรยา มาถึงก็เข้าห้องซึ่งอยู่ชั้นล่าง มีครั้งเดียวที่นายห้างแสงขึ้นมาขั้นสอง เป็นประธานการประชุมต้อนรับการคืนสู่เหย้า    ของหัวหน้ากองบรรณาธิการ “สุเทพ เหมือนประสิทธิเวช” เหล้าเก่าในขวดเก่า

นาน ๆ ครั้ง “ผอ.ประสิทธิ์ เหตระกูล” เจ้าของเซเว่นอัพ กับ “บก.ประพันธ์ เหตระกูล”   เจ้าของยาคูลท์จะย่างกรายมาที่กองบรรณาธิการ มาดูแลและทักทายกัน

วันหนึ่งวันหวยออก มีการถ่ายทอดสดผลการออกรางวัล ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย หลังจากประกาศเลขท้ายสองตัวไม่กี่นาที แท่นพิมพ์เดินเครื่องได้ทันที

วิธีการอันรวดเร็วฉับไวในยุคนั้นมีอย่างนี้ครับ

ใช้พนักงานฝ่ายผลิต 3 คนทำงาน คนหนึ่งจดเลขตามเสียงประกาศในวิทยุ คนหนึ่งหยิบตัวเลขตัวตะกั่วในเคส ใส่สติ๊กหยิบออกมาวางไว้ในถาดไม้ อีกคนมีหน้าที่  “เข้าหน้า” เอาตัวเลขในถาดไม้ใส่ในข่องตามรางวัลที่เตรียมไว้ล่วงหน้า และเรียงลำดับเลขรางวัลจากน้อยไปหามาก ที่เรียกว่า  “รันนิ่งนัมเบอร์”

วันนั้น ผอ.ประสิทธิ์ขึ้นมาบนกองบรรณาธิการเลี้ยวซ้ายเข้าห้องช่างเรียง ผมเข้าเวรหัวหน้าข่าวหน้า  1 เห็นหลังไว ๆ จำได้ ผมเดินตามเข้าไปเผื่อว่า  ผอ.ประสิทธิ์สอบถามเรื่องอะไร ผมรับผิดชอบงานในวันนั้นจะมีคำตอบให้

ผอ.ประสิทธิ์ไปหยุดยืนตรงที่พนักงานทั้งสามคนกำลังทำงาน เข้าใจว่า ผอ.ประสิทธิ์คงอยากรู้ว่า ทำไมพอวิทยุประกาศผลรางวัลเสร็จ หนังสือพิมพ์สามารถออกจากแท่นภายหลังไม่กี่นาที แต่ผมสังเกตเห็นคนหยิบตัวเลขตัวตะกั่ว มือทั้งสองค่อนข้างสั่น และมีบางรางวัลที่เรียงไม่ทัน หันไปบอกคนจดรางวัลให้ทำสัญญลักษณ์ไว้

ทั้งสามคนรู้ว่า ผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์เดลินิวส์มายืนอยู่ข้างหลังจึงเกิดอาการมือสั่นขึ้นมาทันที ซึ่งไม่เป็นผลดีแน่นอน หากเกิดความผิดพลาดกับตัวเลข

ผมสะกิด ผอ.ประสิทธิ์ตรงแขนเบา ๆ แล้วทำมือบอกใบ้ให้ออกจากตรงนั้น พอพ้นห้องช่างเรียงผมบอกว่า ช่างเรียงมันประหม่าครับ ไม่เคยมีผู้บริหารไปยืนจ้องการทำงานของพวกเขา    ผอ.ประสิทธิ์ เหตระกูล นักเรียนเก่าอเมริกาเข้าใจเหตุผลที่ผมไปสะกิดท่าน

ถึงบรรทัดนี้ ผมขออาลัยต่อการจากไปในอายุขัย  84  ปี ของ ผอ.ประสิทธิ์ เหตระกูล

เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2557

“ประสิทธิ์ เหตระกูล” เป็นผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ที่เข้าใจการทำงานผู้คนในกองบรรณาธิการ……เป็นนายทุนที่ให้เกียรติลูกจ้างทุกระดับ……และเป็นสุภาพบุรุษ

และอีกคนที่ล่วงลับ ขอให้วิญญาณสู่สุขคติ “วิชัย วลาพล” หรือ “นกเล็ก” ช่างภาพมือฉมังที่วางกล้องถ่ายรูปหันมาเอาดีเป็นผู้บริหารสมาคมและสมาพันธ์สื่อ

กลับมาที่งานหัวหน้าข่าวหน้า  1 งานเขียนคอลัมน์ และงานจัดภาพเปรียบเทียบฉบับวันอาทิตย์ไม่มีปัญหา ทุกอย่างเดินไปตามวิถีทางอย่างราบรื่น

นอกจากได้อดีตหัวหน้าข่าว 3 คน “ทัศน์ สนธิจิตร – สมาน คำพิมาน – เติบโต วิสุทธศิริ” เป็นต้นแบบแล้ว อีกหนึ่งบุคคลซึ่งผมถือว่าเป็น “ครู” ก็คือ “สุเทพ เหมือนประสิทธิเวช” คนนั้นนั่นเอง

พี่เทพสิงโตทั้งสอนและแนะนำการทำงานให้ผมมากมาย เคี่ยวเข็นตั้งแต่ผมเป็นผู้ช่วยหัวหน้าข่าว ยกตัวอย่างเช่น มีเหตุการณ์ฆ่ากันตาย คนถูกฆ่ามีชื่อเสียงในสังคม มีข่าวละเอียดพร้อมภาพในที่เกิดเหตุครบถ้วน

รุ่งเช้า พี่เทพสิงโตเรียกผมเข้าไปในห้อง ไม่ได้เอ่ยปากชมเรื่องข่าวและภาพ แต่ถามผมว่าทำไมไม่มีรูปหน้าตรงของคนตาย คนอ่านเห็นแต่ศพไม่รู้หน้าตาเป็นอย่างไร พี่เทพสิงโตสั่งสอนว่า    ถ้ามีเหตุการณ์อย่างนี้อีก ผู้ช่วยหัวหน้าข่าวต้องสั่งนักข่าวตระเวนให้ไปบ้านคนตายแล้วขอรูปคนตายมาให้ได้ ผมจดจำคำสอนนี้ไว้

แม้กระทั่งเป็นหัวหน้าข่าวหน้า  1 พี่เทพสิงโตก็ยังพร่ำสอนตลอดเวลา

บ่อยครั้งที่ถูกเรียกเข้าห้อง พี่เทพสิงโตชี้ให้ดูพาดหัวข่าวของเดลินิวส์ ถามว่าทำไมพาดหัวอย่างนี้ ผมตอบว่าผมไม่ได้เข้าเวร พี่เทพสิงโตเลยสอนว่า อย่าพาดหัวอย่างนี้ ควรใช้คำอย่างนั้นจะดูดีกว่า ผมเลยได้ความรู้แบบไม่ตั้งใจมาใส่สมองหลายเรื่อง

ก็เพราะถูกเรียกตัวบ่อยครั้งนี่แหละ คนในกองบรรณาธิการหลายคนจึงเข้าใจว่า ผมเข้าไป  “เลียเจ้านาย” ผมไม่ถือสากับคำนินทา เพราะคนอย่างผม “เลีย” ไม่เป็น

ตามปกติผมจะเข้าโรงพิมพ์ทุกเช้า ไม่ว่าจะเข้าเวรหรือไม่ก็ตาม บางวันยังเมาค้างรู้สึกผะอืดผะอม มองไปหน้าห้องพี่เทพสิงโตจะเห็นหนุ่มใหญ่ร่างเล็ก “อ๊อด” คนรับใช้ประจำตัวพี่เทพสิงโตนั่งอยู่ตรงนั้น  อ๊อดมีเก้าอี้แต่ไม่มีโต๊ะ เพราะมีหน้าที่รับใช้พี่เทพสิงโตเพียงคนเดียว ผมถามอ๊อดว่าพี่เขามาหรือยัง ถ้าพี่เทพมาแล้ว ผมก็ขูนิ้วเป็นที่รู้กัน

อ๊อดจะเข้าไปในห้อง    ออกมาพร้อมกับน้ำแข็งใส่น้ำชาหนึ่งแก้ว     ไม่รู้พี่เทพสิงโตกินชายี่ห้ออะไร    แต่รสชาติชั้นเทพสมชื่อเจ้าของ    พอน้ำชาเย็น ๆ  ตกถึงกระเพาะ    จะรู้สึกได้ทันทีว่ามีความกระปรี้กรเปร่าเกิดขึ้น

แต่บ่อยครั้งที่ผมเข้าห้องพี่เทพสิงโตโดยไม่ได้ถูกเรียกตัว  เมื่ออ๊อดบอกว่าพี่เขายังไม่มาผมจะเข้าไปรินน้ำชาใส่น้ำแข็งเอง เกรงใจอ๊อด ไม่อยากให้ใครเข้าใจผิดว่าผมกร่างไปใช้งานเด็กของพี่เทพสิงโต เพราะเด็กรับใช้ของกองบรรณาธิการมีอยู่หนึ่งคนชื่อ “เฉลียว”

ยุคนั้น นักมวยที่เป็นขวัญใจคนไทยทั้งประเทศ ไม่มีใครเกิน “แสนศักดิ์ เมืองสุรินทร์”    ฉายา  “ไอ้แสบ”  ป้องกันแชมป์กับนักมวยต่างประเทศทีไร ไอ้แสบชนะทุกที

ไอ้แสบได้แชมป์โลกรุ่นไลท์เวลเตอร์เวท ที่อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก เมื่อ  15  กรกฎาคม 2518 น็อกแชมป์จากสเปน “เปริโก้ เฟอร์นั่นเดซ” ยก  8 จากนั้นไอ้แสบไปป้องกันแชมป์ เสียแชมป์แล้วกลับมาได้แชมป์ตามเดิม

ไปป้องกันแชมป์ที่ญี่ปุ่น ไปเสียแชมป์ที่สเปน ไปกระชากเข็มขัดกลับคืนมาได้ที่สเปน

ป้องกันแชมป์ใหม่ที่เชียงใหม่  ญี่ปุ่น สเปน ร้อยเอ็ด นครราชสีมา จันทบุรี สงขลา และเสียแชมป์อีกครั้งที่เวเนซูเอล่า

ขึ้นชิงแชมป์หนสองที่ร้อยเอ็ดก็แพ้นักชกเกาหลีใต้

ผมเข้าเวรมักตรงกับไอ้แสบขึ้นชก ไม่รู้จะเอาคำอะไรมาพาดหัวใหญ่ เพราะคำว่า “ไอ้แสบ” ชนะ กับ “ไอ้แสบ” น็อก นับตัวอักษร 9 ตัวพอดี เครื่องหมายคำพูดนับเป็น 1 ตัวอักษร

ส่วนใหญ่ไอ้แสบจะไปเปิดศึกป้องกันแชมป์โลกตามเวทีต่างจังหวัดจึงเป็นปัญหาที่ทำให้เดลินิวส์ออกช้ากว่าไทยรัฐ เพราะไทยรัฐเขาก้าวล้ำนำหน้าใช้เครื่องบินเป็นพาหนะ ส่วนเดลินิวส์ใช้รถยนต์

เมื่อเกิดปัญหาก็ต้องแก้ปัญหา เพราะปัญหามีไว้ให้แก้อย่างที่พูด ๆ กัน คนที่แก้ปัญหานี้จึงหนีไม่พ้นหัวหน้ากองบรรณาธิการ งานนี้พี่เทพสิงโตทำได้ยังไง

เมื่อไอ้แสบไปป้องกันแชมป์กับนักชกสหรัฐอเมริกา “มอนโร บรู๊ค”  ที่เชียงใหม่ 15  มกราคม 2520 ผมเข้าเวรพอดี ไอ้แสบชนะอีกตามเคยน็อกยก 5 สมัยนั้นไม่มีการถ่ายทอดโทรทัศน์ ผู้คนต้องคอยอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ ละเอียดยิบยกต่อยก และมีเบื้องหลังแถมท้าย     ได้เห็นภาพชอตเด็ดสะใจแฟน  ๆ

คราวนี้แม้เดลินิวส์จะออกช้ากว่าไทยรัฐ แต่ก็ไม่ช้ามากเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

ไทยรัฐเช่าเครื่องบินเหมาลำเช่นเคย ในเครื่องบินดัดแปลงเป็นห้องมืดสำหรับล้างฟิล์มและปริ๊นท์รูปอัดรูป มี   “มานิตย์  กฤษณะเทวินทร์” หัวหน้าช่างภาพเป็นแม่ทัพอยู่ในเครื่อง    ไม่ได้เข้าสนามเหมือนนักข่าวที่หิ้วพิมพ์ดีดนั่งติดขอบเวที เขียนข่าวการชกยกต่อยก ส่วนช่างภาพประมาณ 3 คน แยกกันอยู่คนละมุม กดชัตเตอร์ชนิดไม่เสียดายฟิล์ม ถ่ายจนหมดม้วนก็ถอดฟิล์มให้ม้าเร็ว หิ้วถุงฟิล์ม 3 ม้วนไปที่เครื่องบิน มานิตย์กับลูกน้องลงมือล้างฟิล์มอัดรูปเสร็จสรรพ    พอเสร็จศึกกำปั้นสะท้านโลก ทั้งนักข่าวและช่างภาพมาขึ้นเครื่อง

กลับกรุงเทพฯ เมื่อถึงโรงพิมพ์ไม่ต้องเสียเวลาเขียนข่าว ไม่ต้องเลือกภาพ เพราะภารกิจทั้งหมดจัดการเสร็จสิ้นในเครื่องบินลำนั้น

แต่ที่เชียงใหม่ เครื่องเหมาลำของไทยรัฐไม่สามารถเหินฟ้าได้ เพราะมีเครื่องขนาดเล็กอีกลำจอดขวางทางอยู่

เครื่องบินลำเล็กนั้นเป็นของเดลินิวส์ที่เช่าเหมาลำเช่นกัน ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนเป็นครั้งแรกของเดลินิวส์ที่ใช้เครื่องบินแทนรถยนต์

เครื่องไทยรัฐต้องรอหลายนาที ให้เครื่องเดลินิวส์ทะยานขึ้นฟ้าไปก่อน แต่เครื่องไทยรัฐก็ไปถึงดอนเมืองก่อนเครื่องเดลินิวส์ เพราะเครื่องใหญ่กว่า

นี่ก็เป็นการสู้ด้วยชั้นเชิงจากฝีมือของพี่เทพสิงโต

ชีวิตของไอ้แสบหรือ “บุญส่ง มั่นศรี” โชติช่วงชัชวาล มีเงินสิบล้าน และมีเมียสวยเป็นดาราดาวยั่วแห่งยุคที่ชื่อ “ปริม ประภาพร”

เมื่อข่าวไอ้แสบมีเมียดาราเริ่มแพร่กระจายในสังคม แต่เป็นแค่ข่าวเม้าท์ยังไม่เป็นที่ยืนยัน    บรรดาสื่อต่างควานหาตัวไอ้แสบและปริม แต่ไม่มีใครพบ ทั้ง ๆ  กรุงเทพฯ ยังไม่หนาแน่นด้วยอาคาร ผู้คน และยวดยาน

ในที่สุด ข่าวนี้ไม่พ้นความสามารถของนักข่าว กองบรรณาธิการเดลินิวส์จึงคลาคล่ำด้วยนักข่าวและช่างภาพจากหนังสือพิมพ์ฉบับต่าง ๆ จับกลุ่มออกันอยู่หน้าห้องพี่เทพสิงโต

เพราะในห้องมีสาวพราวเสน่ห์ชื่อ “ปริม ประภาพร” อยู่ในนั้น แต่ประตูห้องปิด   และคนเดลินิวส์ต่างปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็น เมื่อนักข่าวต่างสำนักสอบถามเรื่องปริม

พี่เทพสิงโตฉกตัวปริมมาเก็บไว้ นักข่าวช่างภาพทุกสำนักได้แต่ชะเง้อคอมอง ทุกครั้งที่ประตูห้องพี่เทพสิงโตเปิดให้คนเดลินิวส์เข้าออก แต่ไม่มีใครเห็นปริม เพราะปริมนั่งอยู่ในมุมห้องที่พ้นสายตา พี่เทพสิงโตก็อยู่ในนั้น พี่เทพสิงโตใช้โทรศัพท์ภายใน ติดต่อกับเลขาฯส่วนตัว   “ยิ้ม” สาวสวยร่างใหญ่ ซึ่งมีโต๊ะทำงานอยู่หน้าห้อง

สุดท้ายนักข่าวและช่างภาพหลายสิบคนก็ถอยทัพกลับโรงพิมพ์แต่ละสำนักแบบมือเปล่า

รุ่งขึ้น มีเดลินิวส์ฉบับเดียวที่มีบทสัมภาษณ์ปริมอย่างละเอียดยิบ ไปรู้จักไอ้แสบได้อย่างไรทำไมจึงยอมตกลงปลงใจนอนเตียงเดียวกับไอ้แสบ

เป็นความสามารถอันเหนือชั้นของพี่เทพสิงโตโดยแท้

ชีวิตไอ้แสบเหมือนพลุ พุ่งสูงสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว เสียงดังกึกก้อง สว่างไสวเจิดจ้า ก็เพียงชั่วพริบตาเท่านั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็จางหาย

ไอ้แสบมีลูกกับปริมคนเดียวเป็นชายชื่อ “เกรียงศักดิ์ มั่นศรี”  ชื่อเดียวกับนายกรัฐมนตรีช่วงนั้น พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์

ชีวิตตกต่ำเรื่อยมา เป็นโปรโมเตอร์จัดมวยโดยตัวเองขึ้นชก ไม่ประสบความสำเร็จขาดทุนยับเยิน ไอ้แสบต้องแขวนนวม ลงสมัคร  ส.ส.เพชรบูรณ์บ้านเกิด สังกัดพรรคชาติไทย ก็สอบตกไม่เป็นท่า และเลิกรากับปริม ประภาพร เงินสิบล้านบาทร่อยหรอจนไม่เหลือ ได้เงินจากการกีฬาแห่งประเทศไทยมายังชีพ  เดือนละไม่กี่พันบาท

ไอ้แสบได้เมียใหม่คอยดูแล อยู่ในบ้านซ่อมซ่อหลังคารั่ว นัยน์ตาข้างหนึ่งบอดสนิท    เหลืออีกข้างก็พร่ามัว

ไม่มีอีกแล้ว ไอ้แสบหมัดซ้ายทะลายโลก  ไอ้แสบเหรียญทองซีเกมส์ที่สิงคโปร์ ไอ้แสบแชมป์โลก มีแต่ไอ้แสบที่โรคภัยไข้เจ็บรุมเร้าเข้าโรงพยาบาลราชวิถี เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2552   พอถึงวันที่ 16 เมษายน 2552 ไอ้แสบก็สิ้นใจเมื่ออายุ  58 ปี

พิธีพระราชทานเพลิงศพ นายบุญส่ง มั่นศรี ที่วัดตรีทศเทพ เมื่อวันที่  20 เมษายน  2552 พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรีในปัจจุบันเป็นประธาน

ผมชอบดูมวยครับ ตอนเรียนมัธยมปลายที่  ร.ร.ไพศาลศิลป์ ยศเส ทุกครั้งที่ “สุขเกษม   เกศสงคราม” ชึ้นชก ผมจะต้องไปเชียร์ที่เวทีราชดำเนิน เพราะสุขเกษมเป็นนักชกขวัญใจนักเรียน    และอีกคนที่เชิงชกประทับใจ  “หลาว เลิศฤทธิ์”

แต่สำหรับเรื่องราวในวงการบันเทิง   ผมยอมรับว่าบอดสนิทไม่รู้จักดารา ไม่รู้จักนักร้อง ไม่รู้ว่าใครโด่งใครดัง เวลามีข่าวของคนบันเทิงจะต้องขึ้นหน้า 1 เมื่อนักข่าวเอาข่าวมาส่ง ต้องบรรยายสรรพคุณของบุคคลที่เป็นข่าวให้ผมรู้ด้วย

โต๊ะทำงานของผมอยู่หน้าห้องข่าวการเมือง และข่าวบันเทิง มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินผ่านโต๊ะผมเข้าไปในห้อง เหลือบตามองเห็นชายหนุ่มแต่งเครื่องแบบเหมือนผู้ใหญ่บ้าน ส่วนหญิงสาวใครเห็นก็ต้องบอกว่าสวย

ผมนึกในใจ ผู้ใหญ่บ้านกับเมียมีเรื่องอะไรถึงไปร้องทุกข์กับฝ่ายการเมืองหรือฝ่ายบันเทิง    มารู้ตอนหลัง เป็นคู่พระคู่นางหนังเรื่องใหม่ “ครูบ้านนอก”

พระเอก “ปิยะ  ตระกูลราษฎร์” กับนางเอก “วาสนา สิทธิเวช”

ต้องมารายงานตัว เอ๊ย เปิดตัว ก่อนหนังเข้าโรงเป็นธรรมเนียมที่คนสร้างหนัง ปฏิบัติกับคนทำหนังสือพิมพ์ในยุคนั้น

เห็นแล้วก็นึกถึงอดีตพระเอกนางเอกอีกคู่ ที่อยู่บนโลกความจริงแท้และแน่นอน       “บุญส่ง มั่นศรี” กับ “ปริม   ประภาพร”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

RELATED ARTICLES