เกือบทุกฤดูกาลแต่งตั้งโยกย้าย นอกจากจะเจอบรรยากาศ “วิ่งเต้น” กันฝุ่นตลบแล้ว ยังจะพบอาการ “เกียร์ว่าง” ของตำรวจหลายคน
สับสนระคน “ตั้งการ์ด” ปล่อยวางไม่ทำอะไร
ใจจดจ่ออยู่กับเก้าอี้ที่บางทีไม่รู้อนาคตของตัวเอง
จะต้องอยู่ หรือต้องย้าย
ตัดสินใจลำบาก
แน่นอนว่า ตำแหน่งระดับ “รองผู้บังคับการ-ผู้กำกับการ” คลอดออกมาลอตใหญ่แล้ว จำนวนมากเก็บข้าวของเตรียมขนย้ายอุปกรณ์ไปนั่ง “ตำแหน่งใหม่” แม้คำสั่งจะมีผลบังคับใช้วันที่ 22 ธันวาคม 2563 แต่หลายคนเลือก “ปล่อยอารมณ์” เหมือน “ปล่อยลมยาง” โยนทิ้งหน้าที่การงาน ไม่สนผลกระทบจะเกิดขึ้นแก่หน่วย
ผลกระทบที่จะตกอยู่กับประชาชน
ทว่ายังมีห่วงกับ “ส่วย” ที่ต้องเข้ากระเป๋าก้อนสุดท้าย
กลายเป็น “วงจรน้ำเน่า” ของวงการสีกากี
ส่วนระดับ “รองผู้กำกับการ-สารวัตร” อีกลอตมหึมาทั่วประเทศ อำนาจที่อยู่ในมือของ ผู้บัญชาการแต่ละหน่วย
หวยจะออกแบบไหน “ลุ้นกันตัวโก่ง”
เมื่อขั้วอำนาจใหญ่เปลี่ยนไป นิสัยบางคนเปลี่ยนแปลง แสดงอาการ “โลภมาก” หวังถอนทุนที่ลงไปในการต่อรองราคา “ค่าเก้าอี้”
ลาภปากชั้นดีถึงขึ้นอยู่กับ “เก้าอี้ลูกน้อง”
บางคนต้องกระเหี้ยนกระหือรือหา “ต่อขั้ว” แลก “ตั๋ว” เลือกตำแหน่ง ไม่ใส่ใจหน้าที่การงาน ทำให้ “ผลงาน” ของหลายหน่วยสะดุดหยุดนิ่ง ประวิงเวลารอคำสั่งคลอด เหมือนนอนกอดหมอนรอความฝัน วัน ๆ เอาแต่ “วิ่งเต้น”
พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง เป็นข้ออ้างของ “ตำรวจสายพันธุ์ใหม่”
อะไรที่ทำให้พวกเขาคิดกันแบบนั้น อะไรที่ทำให้ระบบข้าราชการตำรวจพังปั่นป่วนชวนน่าเศร้า
คงเป็นค่านิยมที่หลงชื่นชม คนประจบสอพลอ มากกว่า คนก้มหน้าก้มตาทำงาน
ไม่แปลกทำไมช่วงนี้ตำรวจหลายคนถึงเลือก “ใส่เกียร์ว่าง”
แถมบางคนยังทำตัวเป็น “บ่าง” ยุแยงแทงเก้าอี้พวกพ้อง จ้อง “ทำเลทอง” เพื่อให้ตัวเองได้ครอบครองอาณาจักรกันแบบ “อิ่มหมีพีมัน”
ถึงไม่มีหมู่ “มารขาว-มารดำ” ชะตากรรมของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ยังไม่สามารถหลุดพ้น “วงจรน้ำเน่า”ใน “ทุ่งปทุมวัน”
กี่ยุคกี่สมัย ไม่ต่างกัน