ออกมาแสดงความคิดเห็นแบบตรงไปตรงมาผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว
พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 มือสอบสวนระดับตำนาน และเป็นกรรมการปฏิรูปประเทศ ด้านกระบวนการยุติธรรมว่าถึง “คดีน้องชมพู่” ที่เกิดขึ้นมานานปีเศษ
จั่วหัว” กระบวนการยุติธรรม ต้องปราศจากการแทรกแซง”
เจ้าตัวมองว่า การตายของ “น้องชมพู่” หน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องสืบสวนสอบสวนให้ได้ข้อยุติว่า “น้องชมพู่”เสียชีวิตเอง หรือมีผู้ทำให้เสียชีวิต
ถ้าเสียชีวิตเองจะไม่เป็นความผิดอาญา พนักงานสอบสวนเพียงแค่ทำสำนวนชันสูตรพลิกศพ เพื่อพิสูจน์ให้ได้ข้อเท็จจริงว่า ผู้ตายเป็นใคร ตายที่ไหน ตายเมื่อไหร่ ตายอย่างไรเท่านั้น
แต่ถ้ามีผู้ทำให้ตายจะเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ให้เห็นความผิดว่า มีการกระทำความผิดอาญาฐานใดเกิดขึ้น (ฆ่าผู้อื่น หรือกระทำโดยประมาทจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย) และพิสูจน์ให้ได้ว่าใคร คือ “ผู้กระทำความผิด” เพื่อติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี
พล.ต.ท.อำนวยอธิบายว่า การสอบสวนเป็นการรวบรวมพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเพื่อพิสูจน์ความผิด หรือความบริสุทธิ์ และ/หรือ เอาตัวผู้กระทำผิดมาฟ้องลงโทษกระบวนการนี้
กระบวนการในการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ให้เห็นความผิดตามที่กล่าวหา เช่น กล่าวหาว่า ฆ่าผู้อื่นตายก็จะต้องรวบรวมพยานหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นพยานบุคคล พยานวัตถุ พยานเอกสารพยานหลักฐานด้านนิติวิทยาศาสตร์ หรือพยานอื่นใดบรรดามี ที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้กระทำผิด ได้ลงมือกระทำการฆ่าผู้ตาย จนถึงแก่ความตายสมเจตนา
จากนั้นส่งสำนวนการสอบสวนพยานหลักฐานที่รวมได้ให้พนักงานอัยการตรวจสอบความถูกต้อง ครบถ้วนสมบูรณ์ก่อนที่จะมีความเห็นทางคดีสั่งฟ้อง หรือไม่ฟ้อง
“หากฟ้อง” คดีจะเข้าสู่กระบวนการในชั้นศาลต่อไป
พยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนรวบรวมจึงถือเป็น “ความลับ” ไปจนกว่าจะมีการพิสูจน์กันในชั้นศาล เพราะหากไม่แล้วจะทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบในทางคดี เกิดความไม่เป็นธรรมกับคู่กรณี
“เพราะหากยอมให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดล่วงรู้ถึงพยานหลักฐานของอีกฝ่ายหนึ่งเสียตั้งแต่ต้น สามารถเปรียบเทียบง่ายๆจะเหมือนกับเล่นไฮโลกันแล้วยอมเปิดถ้วยให้แทง” ตำนานนายพลมือสอบสวนให้ความเห็น
เขาบอกว่า คดีการเสียชีวิตของ “น้องชมพู่” ถูกนำไปสร้างกระแส ถูกนำไปสร้างมูลค่าเพิ่ม ถูกนำไปชี้นำ สร้างภาพ โปรโมตตัวเอง ให้สังคมรู้จัก ถึงขนาดทำให้บางคนกลายเป็น “ซุปเปอร์สตาร์”
“กระผมเองเลิกติดตามคดีนี้มาสักพักหนึ่งแล้วเพราะเห็นว่าเริ่มเป็นเรื่องไร้สาระเข้าไปทุกวัน จนกระทั่งศาลอนุมัติหมายจับและมีการจับกุมตัวลุงพล มาดำเนินคดี และมีประเด็นที่ทำให้กระผมต้องลุกมานั่งเขียนเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง”
เนื่องจากทนายความของลุงพลอ้างว่า ได้นัดหมายไปยื่นเรื่องร้องขอความเป็นธรรม ต่อ ส.ส.สิระ เจนจาคะ คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ตรวจสอบพยานหลักฐานในการขออนุมัติหมายจับลุงพลในครั้งนี้
มีข่าวด้วยว่า กรรมาธิการคณะดังกล่าว “เด้งรับ” ถึงขนาดจะเชิญ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และพนักงานสอบสวน มาชี้แจงถึงพยานหลักฐานขออนุมัติออกหมายจับในคดีดังกล่าว
ตั้งประเด็นว่า อาจจะเป็นการขออนุมัติหมายจับโดยมิชอบ
พล.ต.ท.อำนวยเห็นว่า ถ้าหากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและพนักงานสอบสวนนำพยานหลักฐานไปชี้แจงต่อกรรมาธิการตามคำร้องของทนายลุงพลแล้วละก็จะกลายเป็นการไปเปิดถ้วยไฮโลให้ทนายลุงพลแทง ก็เท่านั้นเอง
แล้วความเป็นธรรมจะอยู่ตรงไหน คู่กรณีจะเสียความเป็นธรรมหรือไม่
พนักงานสอบสวน รวมถึงตัวผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเองในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนทั่วราชอาณาจักรจะมีความผิดฐานนำความลับในสำนวนไปเปิดเผยหรือไม่
อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เรียกร้องช่วยแยกกันให้ออก ระหว่างสืบสวนกับสอบสวน ถ้ามีผู้ไปร้องเรียนเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจในการค้น ในการจับ เป็นหน้าที่ของตำรวจ ฝ่ายสืบสวน/ป้องกันปราบปรามว่า มีการละเมิดสิทธิ์หรือไม่ได้รับความเป็นธรรมอะไร อย่างไรก็ว่ากันไป
“แต่ถ้าล่วงเลยไปถึงการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ให้เห็นความผิด หรือความบริสุทธิ์และหรือเอาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ อันเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ดังเช่นคดีนี้แล้ว จะมีใคร (บุคคลหรือคณะบุคคล) มีสิทธิ์ หรือ มีความถูกต้องเหมาะสมที่จะยื่นมือเข้าไปล้วงความลับในสำนวนการสอบสวน พยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนรวบรวมไว้ได้หรือไม่”
ถ้ายังคิดไม่ออก พล.ต.ท.อำนวยขอกระซิบบอกว่า คดีนี้ถ้าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและพนักงานสอบสวนนำพยานหลักฐานไปชี้แจงต่อกรรมาธิการต่อหน้าทนายความลุงพลหรือไม่ก็ตามจะเป็นบรรทัดฐาน ให้ทนายความในคดีอื่น ๆใช้ช่องทางนี้ล้วงเอาความลับในสำนวน ล้วงเอาพยานหลักฐานในสำนวน
แล้วกระบวนการยุติธรรมเบื้องต้นจะอยู่กันยังไงอีกต่อไป
“กระผมคิดไม่ออก บอกไม่ถูก”
คำถามสุดท้าย “คิดได้ไง” แล้วจะไปกันหรือเปล่า
ไปกันใหญ่แล้ว