นำเอาประสบการณ์ไปบรรยายหลักสูตรสืบสวนคดีอาญาของกองบัญชาการศึกษา
ที่เปิดอบรม เสริมเขี้ยวนักสืบ ระดับนายตำรวจยศ ร.ต.ท.-ร.ต.อ.ที่ผ่านการคัดเลือกจากทุกกองบัญชาการเป็นรุ่นที่ 106-107 รุ่นละ 40 คน
พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปยังศูนย์ฝึกอบรมตำรวจกลาง ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ขึ้นเวที “ติวเข้ม” ด้วยตัวเอง
ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19
เป็นหลักสูตรแรกที่ “แม่ทัพสีกากี” ถอดยศ ถอดตำแหน่ง กลับไปสวมบท “ครู” ถ่ายทอดวิทยายุทธให้แก่ “นายตำรวจคลื่นลูกใหม่”
เหมือนพี่สอนน้อง
ครูสอนลูกศิษย์
เป้าหมายให้นักสืบรุ่นใหม่ทราบถึงรูปแบบการกระทำความผิดในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปตามวิถีโลกของอาชญากรรม
“ผมยึดถือหลักการทำงานมาตลอดชีวิต” พล.ต.อ.สุวัฒน์ว่า
ตัวกำหนดทิศทางและอนาคตของชีวิตเริ่มต้นกับการถามตัวเองว่า เราอยากเป็นตำรวจแบบไหน
ต้องเรียนรู้ก่อนว่า อะไรผิด อะไรถูก และให้มีคุณธรรม
“ชีวิต คือ การเดินทาง รับรู้สิ่งรอบ ๆตัว และต้องหาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ร่วมเดินทาง ความผิดพลาด ความล้มเหลวจะเป็นครูที่ดีที่สุดในชีวิต”
ส่วนการบริหารงานสืบสวน พล.ต.อ.สุวัฒน์ย้ำลูกศิษย์ว่า ต้องพร้อมปรับเปลี่ยนวิธีการตลอดเวลา ต้องตื่นก่อนเขา เป็นผู้นำ เป็นผู้ให้ ต้องรักษาบุคลากรให้อยู่ในเส้นทางการเจริญเติบโต เหมือน 30 นักสืบในปี 2540 เพื่อดูแลประชาชน
“นักสืบที่ดีจะสั่งอะไรลูกน้อง ต้องเคยทำมาก่อน” อาจารย์ใหญ่แห่งตำนานนักสืบรุ่นปัจจุบันกำชับ
เจ้าตัวยังบอกว่า งานบริหาร ต้องรู้จักใช้คน อย่าใจแคบกับการทำงาน และมีความมั่นคงของใจ
แล้วน้องคิดแบบไหน
ลูกศิษย์คิดอย่างไรกับตำราของครูนักสืบ
ร.ต.อ.วศิน อินทร์แก้ว รองสารวัตรฝ่ายอำนวยการ กองสารนิเทศ แสดงความเห็นว่า รู้สึกเข้าใจชีวิตสืบสวนมากขึ้น โดยเฉพาะจากประสบการณ์ของท่านที่ถ่ายทอด หลายๆประโยคจากหลายเคสตัวอย่างที่แสดงได้ถึงชีวิตสืบสวนได้ชัดเจนมายิ่งขึ้น
“สร้างยี่ห้อของตัวเอง งานสืบสวนต้องใช้คนที่เหมาะสมกับงาน การสืบสวนสอบสวนห้ามฟันธง และนักสืบต้องหาเพื่อนร่วมเดินทางในชีวิตให้ได้”
โดยเฉพาะเทคนิคที่ใช้สอบปากคำผู้ต้องหา
“เราต้องตั้งคำถามให้เป็น” ในการสัมภาษณ์ ถือเป็นวิชาที่ล้ำค่าแล้วสามารถนำมาใช้ได้จริง
ด้าน ร.ต.อ.ปฐมพงษ์ ศรีหาพล รองสารวัตร(สอบสวน) สถานีตำรวจพญาไท บอกว่า ได้รับปรัชญาในเรื่องการทำงานเป็นหลัก รู้สึกว่า นักสืบต้องมีองค์ความรู้ ทำงานให้หนัก เพื่อสะสมประสบการณ์ให้คนอื่นบอกว่า เราเก่ง
เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของบรรยากาศแบบ “พี่สอนน้อง”
เพื่อมองอนาคตข้างหน้าจะก้าวมาทำหน้าที่สำคัญแทนรุ่นต่อไป
