ด่านตรวจอันตราย

สิ่งที่ไม่เคยหายไปจากวงการตำรวจ คือ สันดานพวก “นอกแถว” แหกกฎ

หลังจาก พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่ง “เซตซีโร่” ด่านตรวจให้กลับไปทบทวนวิธีการทำงานกันใหม่ เพื่อความโปร่งใส่ เพราะมีการร้องเรียนเรื่องเรียกรับผลประโยชน์กันมาก

ก่อน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นำร่องกองบัญชาการตำรวจนครบาลเปิดนโยบายการตั้งด่านตรวจแบบ “มีมาตรฐานสากล ใช้เทคโนโลยีทันสมัย มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้”

สุดท้ายยังคงเหมือนเดิม

จุดตรวจบางด่านเหมือน “ดักปล้นกลางแดด” บนถนนหลวง

ทำลายภาพลักษณ์ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ส่วนใหญ่

มีข้าราชการคนหนึ่งเล่าว่า หลายวันก่อนเดินทางจากเชียงใหม่เพื่อจะไปรับแฟนอยู่สระบุรี แต่ต้องแวะเข้าบ้านฝ่ายหญิงเพื่อเปลี่ยนรถอีกคันในอำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ระหว่างทางเจอด่านตรวจความมั่นคงเรียกตรวจค้นรถ

เจ้าตัวยินยอมด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่คิดจะมีปัญหาบานปลาย

ตำรวจประจำด่านเข้าค้นรถอย่างละเอียด เจอบุหรี่ไฟฟ้า กับน้ำยาอยู่ในกระเป๋าสะพาย และปืนพกอยู่กระเป๋าเสื้อผ้าบนเบาะหลัง ที่เขาแยกแมกกาซีนอยู่ในสภาพไม่พร้อมใช้งาน

ตำรวจทำท่าขึงขังเรียกลงจากรถ ร่างบันทึกตรวจค้นจับกุม เอาโทรศัพท์มือถือถ่ายรูปและเอกสารใบครอบครองอาวุธปืน บัตรประชาชน รวมถึงบัตรข้าราชการไว้

เสร็จเรียบร้อยบอกให้เข้าไปคุยกับหัวหน้าชุด ยศ ร.ต.อ.

เขาพยายามอ้อนวอนขอความเมตตา ไม่ได้มีเจตนากระทำผิดกฎหมาย ปืนมีทะเบียนถูกต้องทุกอย่าง ขาดแค่ใบพกพา ส่วนบุหรี่ไฟฟ้าใช้สูบเพื่อคลายเครียด และด้วยความรีบร้อนเดินทาง ทำให้ไม่ได้เก็บไว้ที่บ้าน

“ช่วยหน่อยเถอะครับ ผมเป็นข้าราชการเหมือนกัน” เขาบอกด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล

ผู้กองหัวหน้าด่านส่งสายตาเหมือนกันจะเห็นใจ ทว่ากลับตั้งคำถามชวนให้คิด

“จะให้ผมช่วยยังไง”

เขาไม่ตอบอะไรนอกจากคำอ้อนวอนเหมือนเดิม

“แบบนี้ต้องดูแลนายหน่อยนะ เดี๋ยวจะได้ไปขอให้สารวัตรแกช่วย”

ข้าราชการหนุ่มรู้ถึงอาณัติสัญญาณหัวหน้าด่านส่งตรงยังโสตประสาท แต่สงวนท่าทีเรื่องเสนอตัวเลข

 “น้องออกไปนั่งรอก่อน” ผู้กองเห็นคนขับรถคันอื่นมายืนเข้าคิวรอ

 ผ่านไปสักพัก เขาถูกเรียกไปคุยอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีกั๊ก “พี่คุยกับนายแล้ว แต่น้องต้องดูแลนาย นายใกล้เกษียณแล้ว พี่ขอให้น้องดูแลแกหน่อย”

“ได้ครับ ผมดูเท่าที่ผมไหวครับ ผมเงินเดือนน้อย พี่พอเข้าใจนะ ข้าราชการชั้นผู้น้อย รบกวนพี่ช่วยคุยกับนายให้ผมอีกที”

“ถ้าอย่างนั้นพี่จะลองคุยดู แต่ไม่รับปากนะ” พูดเสร็จเชิญเขาออกไปรอนอกห้องอีก

ต่อมามี ร.ต.อ.อีกนายเรียกคุยแบบหลบเลี่ยงผู้คน กระซิบว่า “อยากช่วยนะ ปืนเนี่ยไม่เท่าไหร่ ได้ดันมีบุหรี่ไฟฟ้าคุยยากเลย ถ้าสารวัตรแกถาม พี่แนะนำให้น้องชกไปหมัดเดียวเลยให้จบ อย่าไปยึกยักจะได้ช่วยได้ถูก”

“เท่าไหร่หรือครับ” เขาไม่อ้อมค้อม

“สัก 2-3 หมื่น เอาตรง ๆ นะ พี่แนะนำ”

ข้าราชการหนุ่มอึ้งตั้งสติเสียงอ่อย “ได้ครับ แต่ผมไหวเท่าที่ไหวครับ” เขายืนคำเดิม

ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงการเจรจาต่อรองยังไม่ยุติ

“พี่คุยกับนายแล้ว แกยุ่งอยู่ ยังไม่ให้คำตอบ พี่ก็พยายามช่วยแล้วนะ แต่น้องต้องดูแลนาย พี่เองก็ดูแลไม่ไหวหรอก แล้วน้องจะดูแลนายยังไงดี”

“ ผมไหวสุดแค่ 3 พันครับหมดทั้งเดือนผมแล้ว มีติดตัวพันเดียว อีก 2 พันจะไปยืมมาให้” เขาจนตรอก

“พี่ว่า ชั่วโมงนี้ มันต้องหาหยิบยืมแล้วนะ ดูแลนายไปก่อน”

ข้าราชการคนเดิมคิดในใจช่วงสถานการณ์โควิดแบบนี้ใครจะมีให้หมุน ถ้าไม่ให้ไปโรงพักก็ได้ ข้าราชการด้วยกันยังขู่แดกเงินกันขนาดนี้

แล้วชาวบ้านตาสีตาสาจะเป็นอย่างไร

พอเห็นเขายึกยัก ผู้กองประจำด่านหิวกระหายอ้างจะไปคุยกับผู้เป็นนายอีกรอบ ก่อนทำเป็นโทรศัพท์แล้วเชิญเขาออกห้อง เตรียมเอกสารส่งตัวไปโรงพก เหมือนดูแล้วเขาไม่มีเงินเคลียร์ถึงหลักหมื่นแน่

ขึ้นรถไปโรงพักมีตำรวจชั้นประทวนนั่งมาด้วย  ระหว่างทางนายสิบตำรวจที่มายังบ่นนินทาเจ้านายให้ฟังว่า “ผมก็เห็นใจพี่นะ ข้าราชการด้วยกัน ปกติไม่ค่อยตรวจ ตรวจก็ปล่อย แต่หัวหน้าชุดชอบเป็นแบบนี้ ผมก็ชั้นผู้น้อยจะคุยให้ก็ลำบากใจครับ ช่วยอะไรไม่ได้เลย”

 “ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ” เขาก้มหน้ารับชะตากรรมเมื่อเป็นฝ่ายผิดเองที่พกพาอาวุธปืนและบุหรี่ไฟฟ้าติดตัวมา

ก่อนจากกัน ร.ต.อ.คนเก่ายังสำทับทิ้งท้ายด้วยว่า “ไว้มีโอกาสมาดูแลพี่กับนายนะครับ แล้วอยากจะแนะนำว่า หากจะพกปืนไปไหนมาไหนให้ทำเอกสารคำสั่งมาจากต้นสั่งกัดจะได้คล่องตัว  ไม่มีปัญหา”

ข้าราชการหนุ่มบ้านนอกคิดในใจอีกรอบ

“กูไม่ได้จะพก แต่กูรีบและลืม กูไม่มีเจตนาพกพา ไม่มีความจำเป็นต้องพกมาเลย”

เจ้าตัวระบายด้วยว่า เป็นข้าราชการด้วยกันไม่ได้ช่วยไม่เป็นไร แต่ดันมาข่มขู่เอาเงิน มันเสียความรู้สึก ทั้งที่ความจริงค่าปรับในชั้นศาลไม่กี่พันบาท เพียงแค่ไม่อยากเสียเวลา ทำไมเขาต้องเสียเงินปรับสดเป็นหลักหมื่นด้วย

กลายเป็น “ด่านตรวจอันตราย” หิวกระหายถึงเพียงนี้เชียวหรือ

 

 

 

 

 

 

RELATED ARTICLES