“เราคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก” พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พูดในเวทีซักฟอกของคณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร
ตอบข้อเคลือบแคลงในประเด็นการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจควบคุมฝูงชนที่มีเสียงสะท้อนจาก “สังคมออนไลน์” เกี่ยวกับการใช้กำลังสลายม็อบด้วยความรุนแรงเกินขอบเขต
พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เสมือนเป็น แม่ทัพบัญชาการเหตุการณ์ ทำหน้าที่เป็นตัวแทน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไปแจงข้อเท็จจริง พร้อม พ.ต.อ.พิทักษ์ สุทธิกุล รองผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ พ.ต.อ.กิตติศัพท์ ทองศรีวงศ์ รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาล และ พ.ต.อ.อภิสัณฑ์ หว้าจีน รองผู้บังคับการอำนวยการตำรวจนครบาล
เจ้าตัวเลือกเวทีของคณะกรรมาธิการการตำรวจเพราะมีหน้าที่โดยตรง ไม่ใช่คณะกรรมาธิการชุดอื่น ทำเป็น “หน้าตาตื่น” อยากมีส่วนร่วม “รุมยำตำรวจ” เล่นเกมการเมืองว่าด้วยเรื่องจะเรียกคะแนนเสียงให้ตัวเอง หวังแสดงบทบาทเป็น “พระเอก” สาดน้ำลายเรียกร้องสิทธิให้ประชาชนส่วนใหญ่
ผิดกับคณะกรรมาธิการการตำรวจพร้อมรับฟังคำชี้แจงด้วยเหตุผล ไม่ได้ใส่อารมณ์ร่วมที่เต็มไปด้วย “อคติ” จ้องจับผิด
รองประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจ ประกอบด้วย นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม นายสัญญา นิลสุพรรณ พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา และ น.ส.จิตภัสร์ ตั๊น กฤดากร เป็นกรรมการซักถามในประเด็นหลัก คือ ลักษณะการควบคุมฝูงชน ระยะเวลาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติคาดจะใช้รูปแบบการควบคุมฝูงชนลักษณะที่เกิดขึ้นอีกนานขนาดไหน มีคำสั่งจากนายกรัฐมนตรี หรือไม่ อย่างไร
แล้วที่ตำรวจระบุมี “มือที่สาม” สร้างสถานการณ์
เป็นใคร ใครยิง พร้อมแนวทางการจับกุม
“การปฏิบัติงานของตำรวจ เราเน้นย้ำห้ามเข้าพื้นที่พักอาศัย ไม่สร้างความเดือดร้อนประชาชนส่วนใหญ่” พล.ต.ท.ภัคพงศ์แจงภารกิจการควบคุมความสงบเรียบร้อยในการชุมนุมทางการเมือง
ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติตามแผนการปฏิบัติในการรักษาความสงบเรียบร้อยในการจัดการการชุมนุม เพื่อควบคุมสถานการณ์ไม่ให้เกิดความรุนแรง ภายใต้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พุทธศักราช 2548 ต่อเนื่องพระราชกำหนดการบริหารในสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อควบคุมสถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด 19
ยึดหลักตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พุทธศักราช 2558 มาใช้โดยอนุโลม และต้องปฏิบัติการโดยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ รวมทั้งเหตุผลความจำเป็นในการใช้อุปกรณ์ตามมาตรฐานสากล และมติของคณะรัฐมนตรี
“ในการชุมนุมเราได้รับแจ้งว่า มีบุคคลนำอาวุธ อุปกรณ์ต่าง ๆ เข้ามาในกลุ่มผู้ชุมนุม การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อุปกรณ์ควบคุมฝูงชน เราไม่ได้ตัดสินใจเป็นผู้เริ่มใช้ก่อน แต่มีผู้ชุมนุมยางส่วนเผาป้อม เผารถ ขว้างระเบิดหรือประทัดยักษ์ เป็นที่เดือดร้อนของประชาชนส่วนใหญ่”
ตำรวจถึงต้องเข้าสลายการชุมนุม
แม่ทัพนครบาลยังสรุปตัวเลขเบื้องต้นให้คณะกรรมาธิการการตำรวจเห็นถึงสภาพความเสียหายของทรัพย์สินราชการ มี รถของสำนกักงานตำรวจแห่งชาติ 95 คัน ตู้ควบคุมสัญญาณจราจร 15 แห่ง ป้อมจราจร 5 แห่ง ตู้จราจร 2 แห่ง อาคารเสียหาย 7 แห่ง
ส่วนใหญ่เกิดจากการชุมชนบานปลายเกินขอบเขตของกฎหมายบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิและสามเหลี่ยมดินแดง
แดนมิคสัญญีรายวันที่ผู้ชุมนุมบางส่วนต้องการ “ป่วนเมือง”
ลากเอาตำรวจเข้าไปเป็น “คู่ขัดแย้ง” นำสู่ความรุนแรงในการสลายผู้ชุมนุมเป็นเงื่อนไขความไม่ชอบธรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและรัฐบาล
ถึงกระนั้นก็ตาม เป็นประเด็นที่ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษเภตรา บอกได้ไม่เต็มปาก แต่เชื่อมั่นว่า คณะกรรมาธิการการตำรวจ รวมถึงสื่อมวลชน และประชาชนส่วนใหญ่ มองเกมออก
ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลย้ำด้วยว่า ไม่มีนโยบายให้ตำรวจใช้กระสุนจริง แต่พร้อมจะรับผิดชอบตรวจสอบเพื่อความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายในกรณีมีผู้บาดเจ็บถูกยิงในระหว่างการชุมนุม
“ ผู้บาดเจ็บไม่ได้บาดเจ็บจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ” พล.ต.ท.ภัคพงศ์มั่นใจ
การพิจารณาซักฟอกภารกิจควบคุมฝูงชนของตำรวจนครบาล คณะกรรมาธิการการตำรวจให้เหตุผล เพราะมีข้อห่วงใยต่อสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น การพิจารณาเป็นไปอย่างถี่ถ้วนและรอบด้าน ยินดีรับเรื่องร้องเรียนและข้อมูลจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาพิจารณาเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงให้เกิดความยุติธรรม
ตามพยานหลักฐานที่มีอยู่ในมือขณะนี้คระกรรมาธิการการตำรวจไม่พบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนละเมิดกฎหมาย
ท่ามกลางกระแสที่ถูกมองว่า รับฟัง ข้อมูลด้านเดียว จากฝั่งตำรวจ
กลัวเป็น “มวยล้มต้มคนดู” ช่วยกันเอง
นายสัญญา นิลสุพรรณ รองประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจบอกว่า จะเชิญสื่อมวลชนบางส่วนที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่การชุมนุมมาให้ข้อมูลอีกด้านด้วย แต่ที่เรียกตำรวจมาชี้แจง เพราะคณะกรรมาธิการการตำรวจมีความเกี่ยวข้องกับตำรวจโดยตรง
“เราพิจารณาอย่างถี่ถ้วน หากพิจารณาไม่ดีก็จะเป็นที่เคลือบแคลงสงสัย เน้นพยานหลักฐานที่ปรากฏ”นายสัญญาว่า
เหลือประเด็นเดียวที่ตำรวจต้องเร่ง “แก้ต่าง” เพื่อคลายข้อกังขา
ตามล่าหา “มือปืน” สาดกระสุนใส่กลางฝูงชนพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง