“ ผมไม่เคยมีความคิดแบ่งแยกดินแดน”

หนุ่มใหญ่วัยย่างใกล้ห้าสิบ อนุพงษ์ พันธชยางกูร อดีตกำนัน ต.โต๊ะเด็ง อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ตกเป็นผู้ต้องหาร่วมกับพวกปล้นปืนกองพันพัฒนาที่ 4 อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547

เป็นเหตุการณ์จุดชนวนให้เกิดความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ลุกลามบานปลายมาถึงทุกวันนี้ แถมเป็นคดีสำคัญที่ถูกมองกันว่าเป็นต้นเหตุให้นายสมชาย นีละไพจิตร ประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิมหายตัวไป

ตลอดระยะเวลา 2 ปี 2 เดือน 22วัน ที่เขาจองจำอยู่ในเรือนจำระหว่างต่อสู้คดี กระทั่งศาลพิพากษายกฟ้องปลดปล่อยให้กลับมามีอิสรภาพอีกครั้ง วันนี้กำนันคนดัง ต.โต๊ะเด็งยังคงใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเกิด ท่ามกลางแนวคิดของคนในพื้นที่ที่กำลังแตกออกเป็น 2ฝ่ายว่า เขาคือ ผู้ต้องหาอยู่เบื้องหลังขบวนการแบ่งแยกดินแดนและก่อความไม่สงบในพื้นที่จริงหรือ

COP’S MAGAZINE ขอพาท่านผู้อ่านไปเปิดใจ กำนันอนุพงษ์ พันธชยางกูร ผู้ที่ตกเป็นจำเลยสังคมถูกคนไทยเกือบทั้งประเทศมองเป็นโจรก่อการร้ายทำลายความมั่นคงของประเทศตลอด 3 ปีที่ผ่านมา

ผมไม่เคยมีความคิดแบ่งแยกดินแดนอดีตกำนันโต๊ะเด็งเอ่ยประโยคแรกทันทีที่มีโอกาสได้นั่งสนทนากันกับทีมงาน

พูดกันแบบภาษาบ้าน ๆ ครอบครัวผมเป็นผู้รับใช้รัฐที่ซื่อสัตย์มาก ตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นพ่อ มาถึงผมเป็นคนรุ่นใหม่ เรื่องแบ่งแยกดินแดนเป็นความคิดของคนโบราณ คนสมัยนี้เขาไม่คิดกันแล้ว

สาเหตุที่ทำให้เขาถูกมองเช่นนั้น กำนันคนดังให้เหตุผลว่า น่าจะเป็นเรื่องการแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ เกี่ยวกับความไม่เป็นธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐของเขา อาจแรงไปบ้าง เพราะก่อนหน้านี้ได้เป็นสมาชิกสภาจังหวัดมา 2 สมัยก่อนเป็นกำนันที่โต๊ะเด็ง ได้รับการร้องเรียนต่าง ๆมากมาย โดยเฉพาะเรื่องของตำรวจ

เวลามีประชุม ผมก็แสดงความคิดเห็นที่เขาฟังแล้วไม่สบายใจ เพราะตำรวจเวลาใครคิดอะไรที่ไม่เหมือนเขาอาจดูผิดไปหมด ความคิดของพวกเขาต้องถูกต้องเสมอ ผมได้รับการแต่งตั้งจากจังหวัดให้เป็นวิทยากรรณรงค์เรื่องยาเสพติด เป็นตัวแทนของประชาชน มีตำรวจ ครูท้องถิ่น อนามัย มาจากหลาย ๆ ส่วน ในฐานะที่เป็นตัวแทนของชาวบ้าน เวลามีช่วงเวลาบรรยาย ผมพูดสะท้อนสาเหตุการเกิดปัญหายาเสพติดในพื้นที่ ว่า ค้าได้ไหม หากพ่อค้าไม่ได้รับการคุ้มครองจากเจ้าหน้าที่รัฐ กลายเป็นว่าเราไปประกาศเป็นศัตรูกับตำรวจ

 เรื่องเริ่มแรงขึ้นเมื่อ กำนันอนุพงษ์ถูกเชิญไปจัดรายการวิทยุ เปิดสนทนาสายตรงกับชาวบ้าน เปิดโอกาสให้ชาวบ้านร้องเรียนแสดงความเห็นแบบสด ๆ พอมีเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐ กำนันได้ปล่อยเสียงออกไป สร้างความไม่พอใจให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐบาลบางคน ความขัดแย้งเกิดขึ้นจนต้องเลิกจัดรายการ

พอมีเหตุการณ์ปล้นปืน เหมือนผมถูกกำจัดไปในตัวกำนันอนุพงษ์คิดแบบนั้น

หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามหาผู้กระทำความผิด กระทั่งสุดท้ายรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประกาศออกข่าวกำหนดระยะเวลา 2 – 3 เดือนต้องมีคำตอบว่า ใครปล้น ใครอยู่เบื้องหลีง ทำให้มีตำรวจจากส่วนกลางอาสาเข้ามาทำงาน จนกำนันกับพวกถูกจับกุม สุดท้ายบานปลายเมื่อมีการร้องเรียนตำรวจชุดจับกุมว่าทำร้ายร่างกายบังคับให้เขารับสารภาพ

ผมก็ไม่รู้จริง ๆว่าปืนอยู่ไหน ลูกน้องที่โดนจับก็ไม่รู้ กระทั่งปัจจุบันนี้ ผมยังไม่รู้เลยเขายืนยัน

ส่วนเรื่องทนายสมชาย นีละไพจิตร กำนันอนุพงษ์ก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน แค่รู้จักว่าทำคดีภาคใต้ เป็นประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม ไม่ได้รู้จักส่วนตัว หรือมีความสัมพันธ์ส่วนตัว ตอนถูกจับได้ขอมาเป็นทนายความให้ ขอผ่านตำรวจ กำนันอนุพงษ์บอกว่า จะไม่พูดอะไรมาก รอทนายมาก่อน ตำรวจเลยถามว่าต้องการใคร ตนบอกขอทนายสมชาย และเคยมาหาที่โรงเรียนตำรวจนครบาลตอนที่ถูกควบคุมตัวอยู่ แต่ไม่ได้เจอกัน เพราะเจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้าพบ ทนายสมชายได้ฝากโน้ตไว้ว่าจะมาอีกครั้งวันที่ 15 มีนาคม ให้เตรียมตัวด้วย รู้ข่าวอีกทีวันที่ 13 มีนาคมว่า ทนายหายไป

กำนันย้ำว่า เรื่องแบ่งแยกดินแดน ความคิดเหล่านี้เป็นความคิดของคนเก่าแก่มาก เป็นแค่ความคิด ไม่มีความพร้อมจะปฏิบัติการได้ ถ้าจะทำต้องมีกองกำลังเป็นของตัวเอง มีเงิน มีอาวุธ แต่คนรุ่นใหม่ รุ่นพวกเรา ต้องการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐรังแก เลยถูกมองว่า หัวรุนแรง แบ่งแยกดินแดน ทั้งที่ พวกชาวบ้านบางคนแค้นเจ้าหน้าที่ที่ไม่ให้ความเป็นธรรมเขา รังแกเขา โดยเฉพาะชุดของรัฐบาลก่อน ตำรวจใหญ่มาก ที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จะทำอะไรก็ได้

 “ส่วนหนึ่งของความไม่เป็นธรรมตรงนี้แหละ จุดชนวนให้เกิดความแตกแยกอดีตกำนันโต๊ะเด็งบอกและมีความคิดว่า ตรงนี้คือจุดที่ต้องแก้ปัญหาให้ชัดเจน หากตำรวจกระทำผิด ละเมิดสิทธิของประชาชนควรได้รับโทษ อย่างน้อยชาวบ้านก็เชื่อมั่นว่า ความเป็นธรรมยังมีอยู่ รัฐเป็นที่พึ่งได้ ศาลเป็นที่พึ่งได้ ทำให้เห็นว่า ศาลยังมีความยุติธรรม ถ้าเราบริสุทธิ์จริง

ภายหลังพ้นโทษ กำนันอนุพงษ์ยังไป ๆ มา ๆ อยู่ที่ตลาดเทศบาลสุไหงปาดี ทำงานรับเหมาก่อสร้างในพื้นที่ เริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ยังไม่ทิ้งความคิดช่วยเหลือชาวบ้าน เมื่อถามว่าสบายยใจหรือไม่ กำนันบอกว่า ไม่สบายใจเท่าไรนัก เพราะยังมีคดีฟ้องร้องกับเจ้าหน้าที่ตำรวจบางนายอยู่ ดีที่มีทหารชั้นผู้ใหญ่เข้าใจคอยดูแลอะไรที่ไม่ชอบมาพากล โดนขู่มั้ย ออกมาใหม่ๆ มีเรื่องลักษณะว่า เอาระเบิดไปไว้ที่บ้าน จะยัดข้อหามีระเบิดไว้ในความครอบครอง ปรากฏว่า เขาวิทยุจะเรียกผู้สื่อข่าวให้มาทำข่าว แต่คลื่นไปเข้าวิทยุทหารในพื้นที่ ฝ่ายทหารจึงรีบมาดู เป็นระเบิดแบบเคโม นายทหารใหญ่ท่านหนึ่งบอกไม่น่าใช่ เพราะตรวจสอบที่มาที่ไปได้ว่า ใครเป็นคนเบิก และไม่เคยมีใน 3 จังหวัด ท่านเข้าใจและคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มนั้นว่า พอแล้ว กำนันอนุพงษ์ช้ำมามากแล้ว นับจากนั้นก็เงียบ แต่ผมก็ไม่ประมาท

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บ้านผมทั้งหลังที่อยู่มาตั้งแต่สมัยปู่เป็นกำนันพัง เพราะไม่มีใครกล้าอยู่ ตัวผมเป็นกำนันมา รางวัลดีเด่นผมรับมากมาย ทั้งแหนบทองคำ อะไรเยอะแยะไปหมด ถ้าติดเป็นเหรียญตราคงเต็มหน้าอก ผมอยากถามกลับไปทางภาครัฐ เอกสารที่ทำมาให้มากมายเพื่อเสนอความดีความชอบให้ผม ได้รับรางวัลมาเป็นปึ้ง ๆ เอกสารเหล่านี้ไม่มีความหมายเลยหรือเวลาเราโดนจับ ไม่มองกันเลยหรือ อย่างน้อยผมก็เป็นกำนันดีเด่นอยู่ เมื่อถูกกล่าวหาน่าจะให้ผมประกันตัวมาสู้คดี ไม่ใช่จับผมยัดเข้าคุก ซ้อมผมฟันหัก โหดร้ายมาก จุดนี้เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านทุกวันนี้กลัว ไม่กล้าให้ความร่วมมือกับรัฐในการที่จะแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้อดีตจำเลยคดีปล้นปืนค่ายทหารกองพันพัฒนาระบายความรู้สึก

 สำหรับวิธีการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ กำนันอนุพงษ์มองในความคิดส่วนตัวว่า จะให้สงบทีเดียวต้องใช้เวลาอีกยาวนาน แต่จะให้อยู่กันได้ ควรจัดรูปแบบการทำงานใหม่ อย่าใช้ขั้นตอนยุ่งยากมาก มีระเบียบ มีเจ้าหน้าที่ยุ่งเหยิงกันไปหมด เอากันแบบง่าย ๆให้ชาวบ้านคิดแก้ปัญหากันเอง เขาจะรู้ดีว่า ต้องทำอย่างไร ป้องกันอย่างไร คุยกันแบบบ้าน ๆ ว่า หมู่บ้านไม่ปลอดภัย ช่วยกันดูแล อยู่เวรอยู่ยามกัน ไม่มีเงินตอบแทน เพราะถ้ามี พวกที่ไม่ได้เงินตอบแทนก็จะมองว่า ไม่ใช่หน้าที่ พวกที่รับเงินก็ไปเฝ้ากันเอง สมัยก่อนถึงไม่มี ทุกคนร่วมมือกัน ทุกคนรักบ้านตัวเอง อยากให้สงบอยู่แล่ว อยากทำมาหากินอยู่อย่างปลอดภัย นี่คือวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ โดยเฉพาะคนมุสลิมเขาอยู่ด้วยกันแบบพอเพียงมานาน ไม่คิดร่ำรวยมหาศาล

ต้องคนในพื้นที่ที่มีความตั้งใจ ให้ความเป็นธรรม เขาฝังใจมานาน แต่เราไม่ยอมรับ มันไม่เกี่ยวกับการแบ่งแยกดินแดน แต่อาจมีบางกลุ่มอาศัยตรงนี้มาเป็นประเด็นปลุกระดม เจ้าหน้าที่รัฐเองก็มีส่วน ยกตัวอย่าง กลุ่มที่ถูกกล่าวหาว่าแบ่งแยกดินแดน เป็นกลุ่มวาดะห์ ทำไมถึงมองเป็นกลุ่มนี้ ผมศึกษาอย่างใกล้ชิด คือ พวกเขาเป็นกลุ่มการเมืองที่ต้องการทำงานทางการเมืองให้สอดคล้องกับวิถีคนอิสลามในพื้นที่ เช่น คลุมฮิญาบ มีค่าตอบแทนให้อุสตาซ มีหลักสูตรการเรียนการสอนให้โรงเรียนตาดีกา เดิมไม่มีใครคิด พอคนกลุ่มนี้คิด ก็มองว่า พยายามจะแบ่งแยก มีผลประโยชน์ ความจริงมันเป็นเรื่องของวิถีอิสลาม เป็นเรื่องประเพณี เพราะศาสนาอิสลามระบุชัดเจนว่า ผู้หญิงเมื่อโตขึ้นมาถึงวัยรุ่นแตกพานแล้วต้องปกปิดใบหน้า เปิดให้น้อยที่สุดไม่ให้เกิดปัญหาการยั่วยุทางเพศ แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่เข้าใจ พวกเจ้าหน้าที่ที่เป็นมุสลิม เมื่อเจ้านายถามก็เอาใจนายบอกว่า ไม่ถูก กลายเป็นปัญหาเสียหายถูกมองว่าผิดหมด ทั้งที่สิ่งที่ขอเพราะเป็นหลักมุสลิมต้องปฏิบัติ แต่ไม่ได้อยู่เหนือกฎหมาย มุสลิมต้องทำตัวแบบนี้ กลับไปหวาดระแวงว่าจะเป็นรัฐมุสลิมหรือเปล่า มันไม่ใช่

อดีตกำนันดีเด่นแหนบทองคำเสนอว่า ต้องเอาจุดนี้มารณรงค์แก้ไข ทำความเข้าใจกับประชาชน ทำความเข้าใจแก่เจ้าหน้าที่รัฐไม่ใช่แก้ปัญหาเรื่องประชาชนไม่ให้ความร่วมมือรัฐฝ่ายเดียว แต่ไม่เคยมองว่า เจ้าหน้าที่รัฐลงมาปฏิบัติถูกต้องหรือไม่ ต้องแก้ปัญหา 2 ทาง ปรับตัวเข้าหากัน พอมองว่า ประชาชนไม่ให้ความร่วมมือแล้วทำไมไม่คิดว่า เพราะอะไรที่ไม่ให้ความร่วมมือ เอาสิ่งที่เขาต้องการไปให้เขาหรือยัง วิถีชีวิตของคนภาคใต้มีผนตกชุกทั้งปี ไม่ต้องการน้ำมาก แต่ไปบอกให้เขาตั้งโอ่งยักษ์ เขาก็ไม่ให้ความร่วมมือ เพราะน้ำมีเยอะแล้ว ไม่ได้ขาดแคลน ให้สิ่งที่เขาไม่ต้องการเขาก็ต้องปฏิเสธ แต่ไปบอกเขาไม่ให้ความร่วมมือ มันไม่ถูก

 “ สิ่งที่อยากฝากคือ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านที่ตั้งใจทำงานเพื่อบ้านเมือง อยากให้ภาครัฐได้ให้ความเป็นธรรม ดูแลเขาบ้าง ในเรื่องของคดีต่าง ๆ หากว่า ยังไม่มีพยานหลักฐาน อย่าเพิ่งไปจับเขา อย่าใช้ระบบกล่าวหาแล้วไปหาพยานหลักฐานทีหลัง มันเสียหาย ควรจะมีพยานหลักฐานแล้วถึงไปกล่าวหา อย่างผม ชีวิตทุกอย่างที่เคยมี มันหมดแล้ว คนทั้งประเทศที่ดูข่าวอยู่ ก็มองผมเป็นโจรไปแล้ว ตอนออกมาก็ไม่มีใครรู้ วันนี้ อนุพงษ์ พันธชยางกรู คือโจร ความดีที่เราสร้างมาตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นพ่อ มาจบตรงที่ผม ผมเองยังมีความรู้สึกว่า ผมเสียใจนะที่ไม่สามารถทำให้ครอบครัวดำเนินไปได้อย่างดีตลอด ผมรักษามันไม่ได้ เพราะผมไม่ได้รับความเป็นธรรมตรงนี้ โดยจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐกำนันอนุพงษ์ทิ้งท้ายเป็นแง่คิด

RELATED ARTICLES