กลับมาว่ากันถึงความคืบหน้าการปฏิรูปตำรวจ
ปฏิบัติการ “อวดภูมิความรู้” ท่ามกลาง “อัตตา” ของนักวิชาการนอกรั้วปทุมวัน อยากปั่น “โลกสีกากี” ให้ดูดีในสายตาของตัวเองแบบไม่เกรงใจคนในองค์กรพิทักษ์สันติราษฎร์
ล่าสุด นายมานิจ สุขสมจิตร ประธานอนุกรรมการด้านสื่อสารกับสังคม ในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) แจกแจงผลการหารือของอนุกรรมการด้านวิชาการที่มี ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ยาวะประภาษ เป็นประธาน
ถอดบทเรียนจากตำรวจหลายประเทศที่ปรับตัวทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่น
เขายกตัวอย่าง สิงค์โปร์ที่แก้ปัญหาคอร์รัปชั่นของตำรวจด้วยการกระจายอำนาจตำรวจลงใกล้ชิดประชาชน มีชุมชนเป็นหุ้นส่วนกับตำรวจในการป้องกันอาชญากรรม จัดสรรทรัพยากรเพื่อสนับสนุนการทำงานของตำรวจอย่างเพียงพอ
ส่วนตำรวจเยอรมนี ปรับตัวปฏิรูปตำรวจด้วยการฝึกให้นำความรู้ทางทฤษฎีไปปฏิบัติด้วยตนเอง ฝึกให้นักเรียนตำรวจรู้จักการแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ ตามหลักสิทธิมนุษยชน ให้อำนาจตำรวจระดับปฏิบัติการเพิ่มขึ้น มีรัฐลงทุนให้ด้านเงินเดือน ค่าตอบแทน และสวัสดิการ
ตำรวจเมืองเบียร์สามารถเลี้ยงชีพและอยู่ในสังคมได้อย่างดี
ขณะที่ตำรวจญี่ปุ่นได้กระจายกำลังตำรวจไปให้บริการในพื้นที่ผ่านระบบโคบัง (ตู้ยาม) และชูไซโช่ (ป้อมยามที่พักตำรวจ) ให้ตำรวจมีบทบาทครอบคลุมทั้งการบังคับใช้กฎหมาย การช่วยเหลือประชาชนและเปิดช่องทางรับฟังความคิดเห็นข้อเสนอแนะจากประชาชน
สำหรับอังกฤษ และเวลส์ มีคณะกรรมการอิสระรับเรื่องเรื่องราวทุกข์ ตั้งขึ้นตามกฎหมาย ประกอบด้วยบุคคล 13 คนที่ไม่มีประวัติเกี่ยวข้องกับตำรวจ ร่วมกับกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีก 4 คน ที่แต่งตั้งจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
กรรมการอิสระคณะนี้มีหน้าที่ควบคุมดูแลการสืบสวนสอบสวนคดีอาญา รวมทั้งให้ข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหา รับฟังข้อร้องเรียนจากประชาชนระดับรากหญ้าพิจารณาเรื่องการสอบสวนเพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชน
สหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะรัฐนิวยอร์ก มีคณะกรรมการพิจารณาเรื่องราวร้องทุกข์จากประชาชน เป็นองค์กรอิสระ มิได้เป็นหน่วยงานของนายกเทศมนตรี มีอำนาจสอบสวน ไต่สวน ศึกษา ค้นคว้า และเสนอแนะเพื่อรับฟังคำร้องทุกข์ที่มีต่อตำรวจนิวยอร์กที่ถูกกล่าวหาว่า ใช้อำนาจโดยมิชอบ ไม่สุภาพเรียบร้อย หรือใช้ภาษาที่หยาบคาบ
เหล่านี้เป็น “เศษเสี้ยว” ของตำรวจคุณภาพในต่างประเทศที่คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรมฝันจะนำมายำรวมเป็น “โมเดลตำรวจเมืองไทย”
ชงกันน้ำลายไหลไฟดับ
ตั้งแต่ การกระจายอำนาจบริหาร การสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารงานตำรวจ การสร้างกลไกที่มีประสิทธิภาพในการตรวจสอบการปฏิบัติงานของตำรวจ การถ่ายโอนภารกิจที่ไม่ใช่งานของตำรวจโดยตรง การปรับปรุงพัฒนาระบบงานสอบสวน พัฒนาการปฏิบัติงานของสถานีตำรวจ การปรับปรุงเงินเดือนค่าตอบแทน พัฒนาระบบสรรหา การผลิต บุคคลากรตำรวจ ส่งเสริมความก้าวหน้าของตำรวจชั้นประทวนและ และจัดตั้งหน่วยงานในการปรับปรุงพัฒนากระบวนการยุติธรรม
ล้วนเป็นประเด็นเก่าเอามาเขย่าใหม่ที่พูดกันมานาน
บางทีก็น่ารำคาญอย่างที่ผู้เขียนบอกไว้เสมอ
วงการตำรวจ “ระบบไม่ได้ห่วย” แต่เพราะพวกผู้เป็นนาย “มันเฮงซวย”ต่างหาก !!!