“ชีวิตผม เป็นชีวิตเหนื่อยตลอด ไม่มีสบายเลย”

ดีตนายพลตำรวจมากคุณภาพ แม้บางอารมณ์อาจโผงผาง แต่จริงจังต่อการทำงานชนิดหาใครลอกเลียนแบบยาก

พล.ต.ท.ธีระชัย เหรียญเจริญ อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 มือสอบสวนระดับตำนานของนครบาลที่พนักงานสอบสวนเจอแล้วต้องสะดุ้งโหยง เขามีประวัติโชกโชนเฉียดตาย เฉียดคุก ตะรางมาแล้วหลายครั้ง

เกิดจังหวดฉะเชิงเทรา เรียนชั้นประถมศึกษาโรงเรียนวัดสัมปทวน ต่อมัธยมต้นโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษดิ์ มัธยมปลายโรงเรียนอำนวยศิลป์ ก่อนเข้าโรงเรียนเตรียมนายร้อยรุ่น 14 จบนายร้อยตำรวจรุ่น 12 รับราชการครั้งเป็นรองสารวัตรสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลคันนายาว ขยับไปบางซื่อ จักรวรรดิ สามเสน ชนะสงคราม ก้าวขึ้นสารวัตรใหญ่สถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม เป็นรองผูกำกับการนครบาล 2

ย้ายเป็นผู้กำกับการ 6 กองปราบปราม ผู้กำกับการ 1 กองตำรวจน้ำ รองผู้บังคับการตำรวจน้ำ ขึ้นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ผู้บัญชาการประจำกรมตำรวจ (ทำหน้าที่รองหัวหน้าตำรวจภาค 4) แล้วโยกไปภูธรภาค 2 กระทั่งตำแหน่งสุดท้ายผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 จนเกษียณอายุราชการในวันที่

นายพลวัยย่าง 80 ปัจจุบันยังสุขภาพแข็งแรง เก็บประสบการณ์มากมายสมัยรับราชการไว้ในความทรงจำ ก่อนลำดับฉากเรื่องราวว่า ด้วยความที่อยู่บ้านนอก พ่อแม่ค้าขายเปิดร้านโชว์ห่วย และทำสวน แต่ไม่ชอบตำรวจ เกลียดตำรวจด้วย ปรากฏว่า มีญาติเป็นทหารกันหมดจะเป็นทหารอีกก็ยังไงเลยมาสอบเข้าโรงเรียนเตรียมนายร้อย เลือกเหล่าตำรวจ ทั้งที่เกลียดตำรวจ เพราะสมัยก่อนพ่อเป็นคนที่ชาวบ้านเคารพนับถือ ตำรวจมักไปกินไปนอนที่บ้าน เราก็กลัวเลยไม่ชอบ

เริ่มต้นชีวิตลงบรรจุโรงพักคันนายาว พล.ต.ท.ธีระชัยเล่าว่า ครั้งแรกก็เริ่มรับงานสอบสวน อยู่ที่นั่นปีเดียวก็ย้ายไปบางซื่อ มีคดีเกิดขึ้นมากมาย ทำให้อยู่งานสอบสวนมาตลอด หนีไม่ได้ และทำให้รู้ว่า ถ้าขี้เกียจมันจะกลายเป็นดินพอกหางหมู มีโทษทาวินัยแล้วอาจจะต้องติดคุกแทนผู้ต้องหา เงินเดือนไม่ได้เพราะต้องติดคุก ทำให้ต้องเหนื่อยตลอด เวลากินเวลานอน ไม่เป็นเวลา ทั้งสอบ ทั้งสืบและจับ สมัยก่อนทำหมดทุกอย่าง สอบสวน สืบจับ เอาไปฟ้องศาล ชีวิตตำรวจมันสารพัด  “อยู่บางซื่อนาน 6 ปี เงินเดือนไม่ขึ้น ไม่ได้ติด ร.ต.อ.เลยโวยวายยืนด่าผู้บังคับบัญชา ท่านมนต์ชัย พันธุ์คงชื่น เป็นผู้การเหนือรู้จึงย้ายให้ไปอยู่จักรวรรดิ สบายหน่อยไม่มีงานทำ จะได้ไม่ต้องไปทะเลาะกับใคร คิดดูว่า ผมมีเวลาไปฝึกบิน” เจ้าตัวหัวเราะเมื่อนึกถึงพฤติกรรมห่ามตามประสาวัยรุ่น

สะสมฝีมืองานสอบสวนจนเข้าไปสัมผัสคดีสำคัญระดับชาตินับตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ไปจนถึง 6 ตุลาคม 2519 ไล่ตามจับแกนนำนักศึกษา อาทิ ธีรยุทธ บุญมี เสกสรรค์ ประเสริฐกุล จิระนันท์ พิตรปรีชา จาตุรนต์ ฉายแสง ทำสำนวนคดีกบฏ 26 มีนาคม 2520 โดย พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ เพื่อโค่นล้มรัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร แต่ไม่สำเร็จ นำไปสู่คำพิพากษาประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า รวมถึงตามจับนายวีระ มุสิกพงศ์ ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

ทว่าทำไปทำมาตัวเองกลับไปร่วมทีมกบฏเสียเองในเหตุการณ์ปฏิวัติเมษาฮาวาย หรือ “กบฏยังเติร์ก” เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2524 เพื่อยึดอำนาจการปกครองของนายกรัฐมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ผู้ก่อการประกอบด้วย นายทหารซึ่งจบจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้ารุ่น 7 ตั้งแต่ พ.อ.มนูญ รูปขจร พ.อ.ชูพงศ์ มัทวพันธุ์ พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร พ.อ.ชาญบูรณ์ เพ็ญตระกูล พ.อ.แสงศักดิ์ มงคละสิริพ.อ.บวร งามเกษม พ.อ.สาคร กิจวิริยะ พ.ท.พัลลภ ปิ่นมณี โดยมี พล.อ.สัณห์ จิตรปฏิมา รองผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้าคณะ

“ผมไปร่วมกับเขา เพราะผมรุ่นเดียวกับทหาร จปร.รุ่น 7” พล.ต.ท.ธีระชัยรำลึกความหลัง

“เวลาทหารจะใช้อะไรในรุ่น ก็ลงที่ผมทั้งนั้น คือ ผมก็เป็นเบ๊ ของทหารรุ่น 7 มันใช้ มันโขกสับทุกอย่าง มันใช้รุ่นอื่น ไม่ได้งาน ก็ใช้ผมตลอดเลย ที่ร่วมด้วย เพราะสมบัติ รอดโพธิ์ทอง ตอนนั้นยศ พ.อ.เข้ามาบ้านตอนทุ่มกว่า พาทหารกับรถจีเอ็มซี 2 คันใหญ่มาเต็ม บอกให้ไปหาเพื่อนตอนสี่ทุ่มครึ่ง มีอาวุธยิงเร็วอะไรให้เอาไปด้วย ตอนนั้นรู้แล้วว่า เพื่อนจะเอาคุกเอาตะราง เอาโทษประหารชีวิตมาให้เราแล้ว แต่เพื่อนมันรักเรา มันจะทำอะไรมันจะทำอะไรมันจะมาบอกเราทุกที”

“ ผมอุตส่าห์เบี้ยวตั้งชั่วโมงหนึ่ง ก่อนขับรถไปคนเดียว เป็น พ.ต.ท.คนเดียว ตำแหน่งตอนนั้น รองผู้กำกับการนครบาล 2 กำลังจะขึ้นผู้กำกับการ 6 กองปราบปราม ในหลวงโปรดเกล้าฯ รอแค่มีคนไปรับสนองเพื่อไปรับตำแหน่งใหม่วันที่ 3 เมษายน แต่ก็ต้องไป ต้องทำเพราะเพื่อน ไม่ได้คิดเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ถึงบ้านรองสัณห์ เขาประชุมกันหมดแล้ว รองสัณห์ แต่ง พล.อ.ยืนอยู่หน้าบ้านคอยผม ท่านให้ผมนั่งรถไปด้วย ไปไหนคนก็เห็นหมดเลย พ.ต.ท.ธีระชัย ขับรถให้ ไปที่รวมพล รุ่นพี่เต็มเลย แสดงความยินดี มีผมตำรวจคนเดียว ทำไงได้ สุดท้ายถูกจับหมดทีหลัง ทั้งที่เหมือนว่า 3 วันจะชนะแล้ว แต่พอวันที่ 3 ต้องยอมปล่อยเพื่อไม่ให้เกิดนองเลือด เพราะถ้ารบจริงๆ ป๋าเปรม ตายไปแล้ว พวกเรายึดไว้หมดแล้ว” พล.ต.ท.ธีระชัยฉายภาพประวัติศาสตร์

เหตุการณ์ยุติฝ่ายกระทำการปฏิวัติตกเป็นกบฏ อดีตนายตำรวจร่วมรัฐประหารโค่นอำนาจรัฐบาลบอกว่า พอจบแล้วก็ถูกออกจากราชการ คำสั่งติด พ.ต.อ.ออกไปได้เดือนกว่าๆ ต้องออกจากราชการไว้ก่อนเดือนกว่ากลับมาเข้ารับราชการ คนก็งงกันหมด เป็นกบฏแล้วเติบโตได้อย่างไร ทั้งที่จริงกลับมาได้ก็เพราะมีข้อตกลงกัน พล.อ.เปรม ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ กลายเป็นแมวเก้าชีวิต แต่ พล.อ.สิทธิ จิระโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยขณะนั้นไม่ให้ไปกองปราบปราม หาว่า ไปอยู่หน่วยกำลังไม่ได้ และให้ออกนอกนครบาล อธิบดีณรงค์ มหานนท์เลยไล่ให้ไปอยู่ตำรวจน้ำ

พ้นนครบาลครั้งแรกไปเป็นผู้กำกับการ 1 กองตำรวจน้ำไต่เต้าจนถึงเป็นผู้บังคับการตำรวจน้ำ พล.ต.ท.ธีระชัยภูมิใจว่า สามารถปั้นหน่วยงานตำรวจน้ำให้มีชื่อเสียงด้วยการให้เกียรติ นักเรียนนายเรือที่มีความรู้ความสามารถแล้วโยกมาอยู่ตำรวจได้ทำงานเต็มที่ เวลาจะเอาอุปกรณ์อะไรก็ตั้งกรรมการขึ้นมา หาเงิน หางบประมาณให้ทหารเรือดำเนินการหมด งานก็เดิน ตอนนั้นจับแร่ จับของเถื่อนกันสะบัด คนมารู้จักตำรวจน้ำก็ยุคนี้

ต่อมาขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีสวนป่ากิตติ จังหวัดฉะเชิงเทรา ปีเดียวคืนถิ่นเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลคุมงานสอบสอบสวนแบบทุ่มเทหามรุ่งหามค่ำ เขาบอกว่า กลางคืนประมาณ 2 ทุ่มไปตรวจโรงพัก ไปหมด เรารู้ เพราะเราเคยเป็นพนักงานสอบสวนมาก่อน ถ้าผู้บังคับบัญชาไม่จี้ไม่ไชไม่ได้ เราไปถึงรัง ต้องไปนั่งคอยเอาสำนวนมาตรวจว่า งานเดินแค่ไหน อะไรขาดแล้วแทงให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ทุกโรงพักไปหมด บางวันตรวจถึงเที่ยงคืน ตีหนึ่ง ตีสอง ไม่เสร็จไม่เลิก คอยไปถามพนักงานสอบสวน เอาสำนวนมากอง อะไรขาด คดีไม่เสร็จก็ต้องนั่ง งานมันก็เดินเรียบร้อยหมด

แม้ปลายชีวิตราชการไม่ได้เติบโตสู่ยอดของนครบาลออกไปเกษียณที่ภูธร พล.ต.ท.ธีระชัยยิ้มว่า อย่างร้อยก็ทำงานจนคืนสุดท้ายของวันที่ 30 กันยายน แต่งเครื่องแบบอ่านสำนวนคดีจ้างวานฆ่านายแสงชัย สุนทรวัฒน์ ผู้อำนวยการองค์สื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย พอเที่ยงคืนบอกกับลูกน้องทุกคนว่า บ๊ายบายแล้ว พวกมึงเอาต่อนะ ตั้งแต่นั้น รู้สึกสบาย เที่ยวเลย เงินทองไม่มีเก็บ ขายที่ดิน เที่ยว เพราะที่ผ่านมาไม่เคยไปเที่ยว ไปงานทั้งนั้น ชีวิตอิสระไม่มี

“ชีวิตผม เป็นชีวิตเหนื่อยตลอด ไม่มีสบายเลย มาสบายเอาหลังเกษียณ แต่ที่ผ่านมา ประทับใจการทำงานของตัวเองหลายคดี ได้งานจากอธิบดีณรงค์ มหานนท์ กับอธิบดีมนต์ชัย พันธุ์คงชื่น เป็นต้นแบบ จากที่ไม่รู้เรื่องเลย ยิ่งอธิบดีณรงค์ ตลอดชีวิตไม่เคยชมผมเลย ด่าตลอดจนเกษียณ คนอื่นเข้ามาได้ดีตลอด แต่ผมโดนด่า แต่ได้ดี เพราะงานผม ผมเอางานแลก พอขอเรื่องเงินเดือน ผมได้ตลอด คือเข้าที่ประชุมไม่มีใครสู้ผม ต้องให้ผมหนึ่งก่อน ความบ้าของผมที่บังเอิญประสบความสำเร็จ ผมเสี่ยงตายตลอดชีวิต รอดตายมาได้ไม่รู้กี่ครั้ง”นายพลตำรวจแห่งตำนานนครบาลว่า

อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ย้ำว่า ชีวิตตำรวจมันเหนื่อย อยากจะฝากให้ตำรวจรุ่นใหม่ เป็นวิทยาทาน เป็นแนวคิดให้ตำรวจรุ่นหลังๆ ที่อาจจะต่างในเรื่องยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นค่านิยม ความคิด อยากฝากว่า เป็นตำรวจจะต้องทำตัวให้ประชาชนเชื่อฟัง หมายความว่า เชื่อในความยุติธรรม ความดี และเป็นธรรม แม้จะเอะอะโวยวาย แต่ต้องมีความเป็นธรรม เป็นสิ่งไม่ตาย แล้วอย่าทำตัวต่ำต้อย เสื่อมเสีย รับใช้คนเลวก็พอแล้ว โดยเฉพาะนักการเมืองเลว

“สมัยก่อนไม่มีการเมืองมาแทรกแซง สับนักการเมืองมาตลอด จะมาใช้ตำรวจไม่ได้ จะมายุ่งไม่ได้ ต้องผ่านทางอธิบดีมา มาก้าวก่ายไม่ได้ ยกตัวอย่าง รองนายกฯ คนหนึ่งขอตำรวจหน้าห้องมาอยู่ตำรวจน้ำ ทำหนังสือถามมา ผมก็บอกไม่ให้ เพราะไม่มีความชำนาญด้านเรือ ส่งเรื่องกลับมาทบทวน ผมก็ไม่ให้อีก อธิบดีแสวง ธีระสวัสดิ์ เรียกผมไปด่า ผลที่สุดก็ไม่กล้าส่งไป เพราะไม่มีความชำนาญด้านนี้ เอาไปอยู่แล้วไม่ได้ประโยชน์ ผมถึงอยากบอกว่า คนเราต้องทำงาน ต้องแข็ง ไอ้ความบ้ามาตลอดของผม มันได้ผล ลูกน้องรอดติดคุกติดตะราง เพราะผมมาไม่น้อย”

ธีระชัย เหรียญเจริญ !!!

 

 

RELATED ARTICLES