สะบักสะบอมนอนเจ็บด้วยพิษไข้ใจในโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์นานนับสัปดาห์
ผมพยายามค้นหาตัวเองว่า จะลุกขึ้นเดินต่ออย่างไร หลังเผชิญทางตัน สิ้นหวังท้อแท้จนประกาศไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัย ทั้งที่เป็นปีสุดท้ายของชีวิตนักศึกษาแล้ว ท่ามกลางการคัดค้านของเพื่อนฝูงหมู่มิตร และญาติพี่น้อง
น้ำเกลือผสมยาคลายเครียดที่ผ่านสายยางลงสู่เข็มเจาะลงตรงข้อพักแขนขวาเข้ากระแสโลหิตเพียงช่วยให้ผมได้ผ่อนกังวลประเดี๋ยวประด๋าว
หลับตานอนพักยาวพอฟื้นตื่นมา โรคผวาก็ยังคงเป็นภาพติดตราไม่รู้เลือน
“ทำใจซะบ้าง อย่าคิดมากนะลูก” แม่พูดกรอกหูทุกวัน
ดูเหมือนมันจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาแล้วสะท้อนกลับมาอยู่ร่ำไป
ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ห้วงเวลานั้นคิดอะไรอยู่ ทำไมรู้สึกชีวิตตัวเองไร้ค่า ทิ้งกายปล่อยใจหมกมุ่นอยู่กับภาพความเจ็บปวด ทั้งที่คนน่าจะเจ็บมากกว่าเรา ไม่ใช่เธอคนนั้น กลับเป็นเธอคนนี้ที่นอนเฝ้าไข้อยู่ข้างเตียงไม่ห่าง
หญิงผู้เป็นแม่บังเกิดเกล้าพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ผมฟื้นคืนกลับมาลุกยืนร่าเริงเร็วที่สุด แต่ผมดันไม่เคยแคร์ความรู้สึกในยามนั้นเลย แถมออกกริยาท่าทางรำคาญ ฝืนความห่วงใยด้วยการหลับตาเบือนหน้าหนี
ส่วนหัวอกผู้เป็นพ่อคงปวดร้าวสาหัสไม่แตกต่างกัน
“ใจเย็น ๆ ไม่เอานะลูก พ่อเป็นห่วง” แกผวาเข้ามากอดผมแน่นในห้วงนาทีที่ผมกำลังบ้าคลั่งสติแตกอยู่หน้าบ้านระลอกแรกที่รู้ว่ารักวัยแรกรุ่นพัง
ความอบอุ่นจากอ้อมกอดของพ่อ ทำเอาผมเย็นลงสงบนิ่งชั่วขณะ ร่างกายผมไม่ได้เป็นอะไรสักนิด ทว่าจิตใจมันพยายามคิดว่า ตัวเองสิ้นท่าหมดราคาที่จะต่อยอดก้าวเดินไปข้างหน้าอีกแล้ว ความรู้สึกร้ายกาจเหล่านี้มันคงกลายเป็นหนามอันแหลมคมพุ่งทะลุเสียบกลางหัวใจของคนเป็นพ่อแม่แทน
ย่างเข้าวันที่ 5 ของการนอนให้น้ำเกลือรักษาแผลใจ เพื่อนฝูงหลายคนที่รู้ข่าวต่างมาเยี่ยมปลอบขวัญจนเริ่มทำให้ผมรู้สึกสมเพชตัวเอง
“ณรงค์ฤทธิ์มาก็ดีแล้ว พาโต้งลงไปเดินเล่นหน่อยจะได้ไม่เครียด” แม่ส่งสัญญาณบอกเพื่อนรักสมัยเรียนมัธยมกางเกงขาสั้นช่วยร่วมปัดเป่าทุกข์ใจให้ผมด้วย
“ไปโว้ย มึง”
มันเป็นวันแรกที่ถอดสายน้ำเกลือออก และเป็นครั้งแรกที่ผมลุกจากเตียงย่างออกนอกห้องพักลงลิฟต์โรงพยาบาลไปเดินสูดอากาศเล่นข้างล่างตึก
“กูเหนื่อยว่ะ” ผมระบายความอึดอัด
ชายหนุ่มร่างผอมเกร็งตัวเล็กที่หมู่เพื่อนนักเรียนต่างเรียก “อีที”เดินคาบบุหรี่อัดควันโขมงไม่แสดงความเห็น
“ขอบุหรี่กูตัวดิ”
มันยิ้มฟันขาวเหมือนจะด่า ก่อนควักซองบุหรี่สายฝนยื่นให้พร้อมไม้ขีด ผมรับมาจุด สูบควันนรกเข้าเต็มปอดแล้วพ่นออกเหมือนยกภูเขาที่อัดอั้นมานานหลายวันออกจากอก เพื่อนผมคนนี้พยายามปลุกบทสนทนาสมัยเรียนมัธยมระหว่างเดินไปตามทางเพื่อกระตุ้นเดินไฟให้ผมอีกครั้ง
เดินกันเพลินจนเข้าไปในรั้วโรงเรียนเซนต์หลุยส์ศึกษาก่อนลงจอดที่ม้าหินบริเวณสนามบาสเกตบอลของนักเรียนประถม
มันเป็นวันอาทิตย์ที่เงียบสงบและร่มรื่น
“เตะบอลกันไหม” ผมบอกเพื่อนทันทีที่เหลือบเห็นลูกบอลพลาสติกใบเล็กทิ้งอยู่แถวนั้น
“มึงไหวหรือ”
“ลองดู”
ผมที่ยังอยู่ในชุดคลุมคนไข้โรงพยาบาลจัดแจงเดินไปหยิบลูกบอล ส่วนเพื่อนเลิฟหาก้อนหินมาช่วยตั้งเป็นโกล์ ก่อนสวมบทบาทนักเตะแบ่งกันคนละข้าง ใส่รองเท้าแตะไล่แย่งลูกฟุตบอลกันจนเหงื่อท่วมกาย
“ยังเหนื่อยอยู่หรือเปล่า” อีทีถาม
ผมหัวเราะครั้งแรกในรอบหลายวันนับจากมานอนเจียนตายอยู่โรงพยาบาล
“กูยังมีเพื่อนนี่หว่า” ผมตอบมันในใจ
ลูกบอลพลาสติกเก่า ๆ ใบนั้นจุดประกายให้ผมลุกขึ้นวิ่งสำเร็จ
“ไปทำอะไรกันมาตั้งนาน แล้วนี่เหงื่อซกตัวเปียกหมดเลย” แม่ผมถาม
ผมมองหน้าเพื่อนรักแล้วหัวเราะส่งสัญญาณถึงแสงสว่างของชีวิตให้พ่อแม่เห็นแล้ว
ไม่กี่วันถัดจากนั้น ผมออกจากโรงพยาบาลเปลี่ยนความลังเลกลับไปมุ่งมั่นเรียนมหาวิทยาลัยในชั้นปี 4 และพยายามหากิจกรรมทำมากมายสารพัดเพื่อกลบภาพบาดตาความทรงจำบาดใจให้เร็วที่สุด แม้ก้นบึ้งของส่วนลึกจะยังคงมีสายฟ้าแลบให้รู้สึกสะดุ้งบางเวลาอยู่ก็ตาม
เริ่มต้นด้วยการจัดแคมปัสทัวร์ ระดมเพื่อนสมัยเรียนมัธยมมานั่งสังสรรค์กันทุกวันศุกร์สุดสัปดาห์ ประเดิมด้วยกลุ่มที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยกรุงเทพรับเป็นเจ้าภาพกันในร้าน Sherbet หน้าสถาบัน ตามด้วยการไปเยือนถิ่นท่าพระจันทร์ ธรรมศาสตร์ ต่อเนื่องตลาดสามย่าน จามจุรี วนอีกทีอยู่หน้ามหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
ผมเรียกน้ำนรกสีอำพันเข้าบดขยี้ความทุกข์ มีบทสนทนาของหมู่สหายเก่าคลุกเคล้าเป็นกับแกล้มเผาเวลาก่อนกลับบ้านทุกเย็นวันศุกร์
ส่วนวันอื่น ผมเลือกเทคิวให้เพื่อน และรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัยเข้ามาช่วยดับกระหายคลายพิษ
“พี่ก้อง ผมว่าเราฉีกแถวทำหนังสือพิมพ์กันไหม” ผมหารือสุดแดน รอตภัย นักศึกษารุ่นพี่นักกิจกรรมหัวรุนแรงตัวยงที่ตกมาเรียนรุ่นเดียวระหว่างนั่งจมกันอยู่ในซุ้มชายแดนถึงการเตรียมโครงการทำหนังสือพิมพ์บ้านกล้วยของคณะนิเทศศาสตร์ ตามหลักสูตรเอกวารสารศาสตร์
เหตุเพราะที่ผ่านมาหนังสือพิมพ์บ้านกล้วยจะเน้นแนวฮาร์ดนิวส์ คล้าย มติชน สยามรัฐ เน้นข่าวการเมือง วิชาการจัดวางหน้า ไม่หวือหวาเหมือนแนวซอฟท์นิวส์ อย่าง ไทยรัฐ เดลินิวส์ ข่าวสด ดาวสยาม ที่มุ่งตีแผ่ข่าวแนวอาชญากรรม ตีหัวหมา ด่าแม่เจ๊ก
“ผมมองมันจืดไปว่ะ เราน่าทำอะไรแปลกใหม่ดูบ้างนะพี่”
“ข้าก็ว่าน่าจะโอเคนะ” สุดแดนที่รับบทเป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการเห็นตรงกัน
“แต่เราจะเล่นข่าวอะไรล่ะ ที่จะหวือหวาเอามาพาดหัว” นักศึกษารุ่นพี่ยังกังวล
“เดี๋ยวผมจัดการเองพี่” ผมรับคำเพราะเล็งประเด็นข่าวเด็ดไว้ในหัวอยู่แล้ว เหลือแค่ไปตามเก็บรายละเอียดเอามาเป็นข่าวนำเสนอเท่านั้น
“รีบนะโว้ย เดี๋ยวจะไม่ทันเอา” หัวหน้ากองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์บ้านกล้วยกำชับ
ผมเคยผ่านงานฝึกตระเวนข่าวสายอาชญากรรม หนังสือพิมพ์ไทยรัฐนาน 2 เดือน มีส่วนให้รู้สายสนกลในโครงสร้างตำรวจโรงพักอย่างดี และไม่เคยตื่นตระหนกเวลาขึ้นโรงพักไปพบตำรวจระดับนายพันตำรวจโท แม้เพื่อนในกลุ่มนักศึกษาหลายคนจะเกรงอยู่บ้าง
“สารวัตรจราจรอยู่ไหมครับ” ผมมุ่งเข้าโรงพักทองหล่อที่รับผิดชอบพื้นที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ วิทยาเขตกล้วยน้ำไทขอพบพันตำรวจโทวิเลข ศรีนิเวศน์ หัวหน้ารับผิดชอบเรื่องงานจราจรทั้งหมดของโรงพัก
“อยู่ครับ เชิญครับ” ดาบตำรวจหน้าห้องยิ้มแสดงไมตรี
ผมแนะนำตัวเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยกรุงเทพแสดงวัตถุประสงค์หัวเรื่องในการขอสัมภาษณ์สารวัตรหนุ่ม โดยเจ้าตัวให้ความร่วมอย่างเป็นกันเอง สนทนาจับประเด็นออกรสออกชาติพักใหญ่ผมก็ขอตัวกลับ
“ขอบคุณมากนะน้อง ฝากเตือนพวกเขาด้วย อย่าทำผิดกฎหมายกันอีกเลย พี่ก็ไม่อยากจับหรอก” พันตำรวจโทวิเลขทิ้งท้าย
หลังเสร็จสิ้นกระบวนการผลิตคลอดออกมาสู่ตลาดมหาวิทยาลัย หนังสือพิมพ์บ้านกล้วยที่พวกผมทำฉบับนั้นพาดข่าวหัวยักษ์ไม่ต่างหนังสือพิมพ์หัวสีตามท้องตลาดทั่วไปจนเป็นที่ฮือฮาในมวลหมู่หนุ่มสาวมหาวิทยาลัยชนิดขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
“นักศึกษาผวาล็อกล้อ” หัวหน้าสุดแดนบรรจงนำข่าวของผมไปพาดหัวยักษ์ตัวเบิ้ม
ช่วงนั้นมีการนำอุปกรณ์ล็อกล้อมาใช้ตามท้องถนนเมืองกรุงเป็นครั้งแรก เพื่อเล่นงานพวกจอดรถกีดขวางการจราจรแล้วไม่เกรงกลัวใบสั่งแปะหน้ารถ มันเป็นภาพที่ผมเห็นตำรวจล็อกล้อรถที่จอดอยู่รอบรั้วมหาวิทยาลัยทุกวันจนระยะหลังหลายคนเริ่มเข็ดขยาด เนื่องจากค่าปรับสุดแพงหูฉี่ ทำให้ธุรกิจรับจอดรถตามพื้นที่ว่างใกล้เคียงมหาวิทยาลัยดีขึ้นผิดตา
พันตำรวจโทวิเลขเตือนว่า หากทำผิดกฎจราจร จอดรถในที่ห้ามจอดจะถูกล็อกล้อ ต้องไปเสียค่าปรับ 500 บาทในการถอดอุปกรณ์ห้ามล้อ และอีก 500 บาทเป็นค่าปรับข้อหาจอดรถในที่ห้ามจอด ทางที่ดีขอให้นักศึกษาทุกคนให้ความร่วมมืออย่าทำผิดกฎหมายจะดีกว่า ฝ่ายตำรวจเองก็เข้าใจ ไม่อยากจับ แต่กฎหมายต้องเป็นกฎหมายละเว้นไม่ได้
กลายเป็นประเด็นร้อนทำนักศึกษาผู้มีอันจะกินผวาโดนล็อกล้อรถ
ประสบความสำเร็จจากการหลักสูตรทำหนังสือพิมพ์เข้าสู่เทอมสุดท้ายในชีวิตนักศึกษาเป็นอีกหลักสูตรที่ต้องเปลี่ยนมาทำบ้านกล้วยในแนวนิตยสาร ผม และรุ่นพี่สุดแดนยังคิดแหกอีกเหมือนเดิมจากนิตยสารเล่มบางหันไปทำหนาขึ้นเล่นแนวแฟชั่นนางแบบสไตล์แพรว ดิฉัน จับผัดไท-นิลุบล ตรีเพชร เพื่อนในกลุ่มที่ตอนนั้นเป็นนางเอกละครของคณะ ถ่ายแบบขึ้นปกคู่กับหลานสาวคนสวยของตระกูลนักธุรกิจค้าอาวุธเมืองปากน้ำชื่อดังของเมืองไทย
เนื้อหาภายในเล่ม ผมยังได้ไปสัมภาษณ์ศิลปินดิสต์แตกอย่าง “วสันต์ สิทธิเขตต์” และเจาะสกู๊ปอาชญากรรมเกี่ยวกับปัญหาแก๊งซิ่งป่วนเมืองทำชาวบ้านเดือดร้อน แต่ตำรวจยุคนั้นไม่สามารถมีมาตรการอะไรช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ได้เลย
ผมเผาเวลาปีสุดท้ายของชีวิตวัยเรียนในรั้วบ้านกล้วยไปอย่างรวดเร็วจนแทบจะลืมภาพความทรงจำที่เคยทำตัวเองฟั่นเฟือนเรียกสติ กวักวิญญาณความเป็นคนสู่ร่างเดิมอีกครา
ที่สำคัญยังสามารถทำคะแนนสอบได้เกรดสูงสุดในเทอมส่งท้ายถึง 2.94 นับเป็นสถิติของผลการเรียนที่ทะลุเป้ามากเป็นประวัติศาสตร์เด็กหนุ่มหัวดื้อแกล้งทำสมองตื้อที่แท้ก็ไม่ได้โง่นี่หว่า
“ขนาดเข้าโรงพยาบาลนะเนี่ย” เพื่อนคนหนึ่งแซว
“จบแล้วจะไปทำอะไร” อีกคนถาม
“ยังไม่รู้เลย อาจเที่ยวกับเพื่อนก่อน แต่เราคงไม่รับปริญญาว่ะ”” ผมปลุกแนวคิดให้เพื่อนหลายคนอึ้ง
“ทำไม” เป็นคำถามที่ตามมาทันควัน
“ไม่รู้สิ คงไม่ได้ภูมิใจกับมัน คนแจกก็แค่อธิการบดี เราเสียค่าเทอมปีละเท่าไหร่ มันรู้สึกเหมือนซื้อใบปริญญามาเลย”
“แล้วพ่อแม่ไม่ว่าเอาหรือ”
“ถ้าเรารับพระราชทานจากในหลวงอาจจะว่านะ แต่เรามองมันก็แค่เศษกระดาษใบหนึ่งไม่จำเป็นต้องเอามาติดฝาบ้าน” ผมให้เหตุผลตามแบบฉบับคิดขวางโลก
ผ่านไปจนถึงวันรับปริญญาที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผมแต่งสูทสวมชุดครุยหล่อเท่ไปถึงแต่เช้า มีพ่อแม่ตามมาถ่ายรูปท่ามกลางมวลมิตรมากมาย มันน่าจะเป็นภาพความฝันของผู้บังเกิดเกล้าเกือบทุกครบครัวที่เห็นลูกมีวันนี้
เดินถ่ายรูปส่งพ่อแม่กลับเสร็จ เจ้าหน้าที่ประกาศให้บัณฑิตที่ลงทะเบียนไปรายงานตัวเข้าหอประชุม ทำหลายชีวิตกระวีกระวาดโบกมือเอ่ยคำร่ำลาญาติเพื่อนฝูงเตรียมความพร้อมสู่ช่วงพิธีการสำคัญ
ขณะที่ผมยังสนุกกับการเดินให้เพื่อนชักภาพหมู่กับมิตรสนิทวัยเรียน
“แล้วเจอกันนะ” ผมจำไม่ได้หรอกว่า เอ่ยปากลาใครเป็นคนสุดท้ายก่อนเขา หรือเธอคนนั้นจะเข้าหอประชุม
“ไปโว้ยเพื่อน เจอกันที่โรงเรียน” ผมนัดหมายให้เพื่อนที่เป็นช่างภาพ และกลุ่มสหายสนิทสมัยลิงโลดอยู่ในรั้วรำเพยไปถ่ายรูปกันต่อยังถิ่นเก่าเทพศิรินทร์
“ถ้าไม่มีวันนั้น คงไม่มีวันนี้” ผมคิดถึงบุญคุณแม่รำเพยตลอดเวลา
“ไอ้ฤทธิ์ มึงไปรถกู”
ผมหันหลังเดินไปลานจอดรถสวนกับหมู่บัณฑิตใหม่ป้ายแดงนับพันที่กำลังกุลีกุจออย่างเร่งรีบมุ่งเข้าสู่หอประชุม
รถเก๋งบีเอ็มดับเบิลยู รุ่น 2002 สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน 8 ข-2711 กรุงเทพมหานคร มรดกตกทอดของพ่อมาสู่มือลูกชายคนโตเคลื่อนล้อหนีความวุ่นวายในงานรับปริญญาของบัณฑิตมหาวิทยาลัยกรุงเทพออกสู่ถนนสุขุมวิทท่ามกลางสายฝนพร่ำ
ผมกดคันเร่งคุยสนุกสนานกับเพื่อนอีทีผ่านหน้าสนามศุภชลาศัยไปแยกเจริญผล ขึ้นสะพานกษัตริย์ศึกด้วยความเร็วประมาณ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถเก๋งตระกูลเยอรมันควบทะยานกำลังใกล้ถึงที่หมายไม่กี่กิโลเมตรข้างหน้า
“ฉิบหายแล้ว” ผมหลุดคำ
รถคันงามของผมลงสะพานกษัตริย์ศึกไปเจอสภาพการจราจรที่ติดขัดแบบกะทันหัน ผมพยายามแตะเบรก แต่ถนนดันลื่น เพราะน้ำฝนที่ชะลงมาก่อนหน้า ส่งให้การทรงตัวของรถไม่อยู่เสียหลักตามที่ผมหักพวงมาลัยหมุนเคว้ง
เสียงโครมใหญ่ดังสนั่นอยู่เชิงสะพาน กระแทกสะกดร่างผมนิ่งทันที