“บางคนว่า ผมเป็นนักเลง ผมยอมรับครับ”

นับเป็นผู้กว้างขวางคนดังแห่งเมืองไชยา สุราษฎร์ธานีที่ผ่านเรื่องราวมาอย่างโชกโชน และโชกเลือดกว่าจะมายืนตั้งหลักอยู่ได้ในปัจจุบัน

“กำนันชี” ส.อ.วิรัช ทองเพชร นายกเทศมนตรีตำบลตลาดไชยา ยอมเปิดบันทึกชีวิต 61 ปีที่เหมือนนิยายแก่นิตยสาร COP’S ว่า น่าสนใจอย่างไร เป็นมาอย่างไร และอะไร คือ จุดเปลี่ยนชีวิต

ชีวิตที่ถูกมองเป็นผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง กระทั่งล้างภาพลงเล่นการเมืองท้องถิ่นกินหัวใจของชาวบ้านอำเภอไชยา และละแวกใกล้เคียง

เขาเป็นชาวอำเภอไชยาตั้งแต่กำเนิด ลูกชายจิ้ว ทองเพชร ผู้ใหญ่บ้านเขาพนมแบก หมู่ 4 เป็นเด็กบ้านนอกเลี้ยงวัวที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า “ไข่พาชี” ชอบการต่อสู้เป็นชีวิตจิตใจ เป็นนักมวยในวงการผืนผ้าใบในนามว่า “พาชี ศรีพนม”   มันเป็นความเท่ของเด็กยุคนั้น หากได้เป็นนักมวยขึ้นสังเวียนผ้าใบ ไม่ใช่ชกต่อยเกเรทะเลาะกับเพื่อนในโรงเรียน อาจจะเกเรเรื่องเรียนไปบ้าง เจ้าชู้จีบผู้หญิงไปบ้าง แต่ไม่เคยลักขโมยของใคร เป็นความภูมิใจของเขา

“ผมเกิดในครอบครัวที่อบอุ่น พ่อเป็นผู้ใหญ่บ้านที่ชาวบ้านรักใคร่มาก ไม่เคยปฏิเสธการร้องขอความช่วยเหลือของลูกบ้าน พ่อผมเป็นแม่แบบที่ดียอดเยี่ยมในการปกครองคน เป็นแม่แบบที่ดีที่สุดในเรื่องของความเสียสละโอบอ้อมอารี ซื่อสัตย์ สุจริต ผมพูดได้เต็มปากว่า ตั้งแต่เกิดมาจำความได้ ผมไม่เคยเห็นพ่อทะเลาะกับใคร ไม่เคยได้ยินใครนินทาว่าร้ายพ่อ ไปที่ไหนพอบอกว่า ผมเป็นลูกพ่อจิ้ว ทุกคนจะยกย่องชมเชยพูดถึงพ่อแต่ในสิ่งที่ดีงาม พูดถึงในสิ่งที่พ่อช่วยเหลือคนนั้นคนนี้ เป็นความภูมิใจของผมตลอดมา มันเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่ทำให้ผมอยากเจริญรอยตามพ่อ อยากเป็นคนดีให้ได้สักครึ่งที่พ่อผมมี เป็นแรงบันดาลใจให้ผมอยากเป็นอย่างพ่อ แต่ผมก็ยังช่วยเหลือชาวบ้านได้ไม่เท่าที่ใจของผมอยากทำ อยากช่วย” เจ้าตัวเปิดฉากเส้นทางชีวิต

พาชี ศรีพนม แห่งเขาพนมแบกในวัยเพียง 20 ปี ชกมวยมาแล้ว 42 ครั้ง ก่อนเปลี่ยนจากนักรบบนผืนผ้าใบมาเป็นนักรบของชาติเมื่อได้เข้าเรียนเป็นนักเรียนนายสิบ โรงเรียนศูนย์ทหารราบปราณบุรี จังหวัดระจวบคีรีขันธ์ หลังเรียนจบได้ไปประจำที่จังหวัดนครศรีธรรมราช รับราชการอยู่ในชุดปฏิบัติการพิเศษ สวมบทหัวหน้าหน่วยล่าสังหารปราบปรามคอมมิวนิสต์ที่บ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี

นอกจากงานที่ปฏิบัติแล้ว เขายังช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ได้รับความเดือดร้อน โดยเฉพาะคนที่ไม่มีโอกาสทางสังคม คนที่ถูกข่มเหงรังแก เป็นความภาคภูมิใจสำหรับเด็กบ้านนอกอย่างเขาที่ได้มีโอกาสช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันตามคติประจำใจของตัวเอง “ผมช่วยใคร ผมไม่เคยจำ ใครช่วยผม ผมไม่เคยลืม ผมดีใจ ยินดีที่ได้มีโอกาสช่วยเหลือใคร ๆ และไม่คิดเอาบุญคุณ ขณะเดียวกัน ถ้าผมได้รับความช่วยเหลือจากใคร ผมจะระลึกถึงบุญคุณไว้มิรู้ลืม และพยายามหาโอกาสตอบแทน”

“บางคนว่า ผมเป็นนักเลง ผมยอมรับครับ การเป็นนักเลงไม่ได้เป็นกันง่าย ๆ ต้องมีคุณธรรม จริยธรรม ความจริงใจซึ่งกันและกัน แม้จะใช้เงินทองมากมายก็ซื้อความเป็นนักเลงไม่ได้ แต่ถ้าเป็นอันธพาลเป็นง่ายครับ เพียงหนึ่งชั่วโมงก็เป็นได้ แค่ตีหัวหมา ด่าพ่อล่อแม่ ข่มเหงรังแกชาวบ้านก็ได้เป็นอันธพาลแล้ ผมไม่เอาครับกับคนอันธพาล”

การได้ช่วยเหลือคนมากมายแถมติดโปรไฟล์เป็นหัวโจกไล่ล่าคอมมิวนิสต์ ทำให้ ส.อ.วิรัช หนีไม่พ้นบัญชีดำ มีคดีฆ่าติดตัวในถิ่นเกิดยาวเป็นหางว่าวในยุคทหารกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ เขาถูกจับตามองจากฝ่ายตำรวจกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากลุ่มผู้พิทักษ์สันติราษฎร์บางคน และถูกสั่งพักราชการก่อนเกิดเรื่องบาดหมางท้าทายกันในบ่อนพนันแห่งหนึ่งที่ตำรวจคนหนึ่งพยายามเข้าไปสร้างอิทธิพลในถิ่นทหาร

ในที่สุด ส.อ.วิรัช ถูกดักยิงถล่มด้วยปืนเอ็ม 16 ร่างพรุนบาดเจ็บสาหัส ส่วนลูกน้องที่ตามไปด้วยตายคารถ เหตุเกิดเมื่อค่ำวันที่ 12 พฤศจิกายน 2524 รอดตายอย่างปาฏิหาริย์ครั้งนั้นเขาไม่รู้สึกตัวนาน 11 วัน ต้องลี้ภัยหัวซุกหัวซุนเข้ากรุงนอนรักษาตัวโรงพยาบาลสยาม “ผมโดนคดีฆ่า 22 คดี คดีเก่าบ้าง ใหม่บ้าง จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ถูกมองเป็นผู้มีอิทธิพล เป็นมือปืนรับจ้าง กลับบ้านไม่ได้ อยู่ภาคใต้ก็ไม่ได้ เพราะเขาจะตามเก็บ ตอนหลังต้องมีผู้ใหญ่ช่วยพาไปเคลียร์เรื่องให้”

โดนมรสุมชีวิตอย่างหนักต้องหนีตายไม่สามารถใช้ชีวิตที่ภาคใต้ได้ ต้องหนีไปใช้ชีวิตที่ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน กำนันชีเล่าว่า ช่วงเวลานั้นได้รับการช่วยเหลือจาก พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก ขณะมียศเป็น พ.ต.อ. และพล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ ตอนนั้นเป็นเพียงรองสารวัตร นำไปฝาก พล.ต.ต.สุริยะ โมรานนท์ ยศขณะนั้น และร.ต.อ.สมิธ แพรพฤกษ์ ประสานให้กลับสู่ถิ่นเกิดอีกครั้ง มาทำสวน วางมือทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นอยู่ไม่ได้ เปลี่ยนชีวิตใหม่หมดจากทหารตัดสินใจลงมาเล่นการเมืองตามความตั้งใจที่จะกลับมาพัฒนาไชยา บ้านเกิดอันเป็นที่รัก

ได้แรงบันดาลใจในระหว่างหลบลี้ภัยที่เจ้าตัวบอกว่า ไปพักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านกุสุมาน อำเภอท่าแร่ จังหวัดสกลนคร เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ หลังคามุงด้วยหญ้าคา แต่ถนนหนทางได้รับการพัฒนา การคมนาคมสะดวก ผิดกับถนนบ้านเราในสมัยนั้นที่แย่มาก จุดประกายให้คิดว่า หากได้กลับบ้านอีกครั้งจะช่วยเหลือสังคม พัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้นทัดเทียมกับท้องที่อื่น ๆ ให้ได้

หลังคืนแผ่นดินเกิด อดีตสิบเอกทหารหน่วยปฏิบัติการพิเศษย้ายมาอยู่ตำบลตลาดไชยา ลงสมัครผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 ก่อนได้รับความไว้วางใจจากชาวบ้านอย่างท้วมท้น เพียงเดือนเดียวยังได้รับการคัดเลือกให้เป็นกำนันตำบลตลาดไชยยา ยืนวาระการดำรงตำแหน่ง 7 ปี ทำหน้าที่บริหารงานกำนันตำบลตลาดไชยาอย่างเต็มความสามารถ รับรู้ถึงหน้าที่ความรับผิดชอบ ท่ามกลางความตั้งใจพัฒนาพื้นที่ให้ได้มากที่สุดเพื่อให้สมกับความไว้วางใจของประชาชนที่ได้มอบหมายให้เป็นตัวแทน ทำให้ได้รับรางวัลสิงห์ทองจากรัฐมนตรีว่ากระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้นำอาชีพก้าวหน้า

 ต่อมามีกฎหมายระบุกำนันที่อยู่ในเขตสุขาภิบาลต้องยุบเลิก เมื่อมีการยกฐานะเป็นเทศบาล เขาเลยตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งกำนันตำบลตลาดไชยาลงสมัครตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลตลาดไชยา รวบรวมสมาชิกครบทีม 12 คน และได้รับการคัดเลือกจากประชาชนให้ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลตลาดไชยาติดต่อกัน 4 วาระ ตั้งแต่ปี 2542 จนถึงปัจจุบัน เป็นจุดเริ่มต้นชีวิตนักการเมืองเต็มตัวกับทีมงานกลุ่มไชยาพัฒนา

“ชีวิตนักการเมืองท้องถิ่นก็เหมือนปลาสองน้ำ” กำนันชีบอกเมื่อได้เรียนรู้งานทางการเมืองมาตั้งแต่สมัยวีระกานต์ มุสิกพงศ์ เป็นอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ สมัยเป็นผู้บัญชาการทหารบก ขณะนั้นมีการตั้งพรรคความหวังใหม่กำลังหาสมาชิกพรรคที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เขาเลยได้รับความไว้วางใจให้เปิดที่ทำการพรรคที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี การที่ได้เข้าร่วมงานกับ พล.อ.ชวลิต มีส่วนสำคัญที่ทำให้ชีวิตได้เรียนรู้ ได้ศึกษาการเมือง รู้จักนักการเมืองระดับชาติ รู้จักได้ศึกษาชีวิตและการทำงานของบุคคลสำคัญหลายท่าน

นายกเทศมนตรีตำบลตลาดไชยาปั้นผลงานส่งเสริมกิจกรรมท้องถิ่นมาโดยตลอด อย่างเช่นงานประเพณีชักพระ ทอดผ้าป่าของอำเภอไชยา ริเริ่มมาตั้งแต่สมัยเป็นกำนันตำบลไชยา สมัยนั้นมีเรือพนมพระเพียง 2 ลำ คือ เรือพนมพระของวัดพระบรมธาตุไชยา และวัดพระประสพ ชาวบ้านเรียกว่า เรือพระพี่ เรือพระน้อง จนมาในปัจจุบันมีเรือพนมพระเข้าร่วมประเพณีปีละ 15 ลำ มาจากความศรัทธา และความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้านทั้งสิ้น นอกจากนี้ ยังส่งเสริมพุทธศาสนา รณรงค์ให้ชาวบ้านในเขตเทศบาลได้ร่วมกันทำบุญตักบาตรเนื่องในโอกาสประเพณีต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง

“ผมโชคดีที่มีพรรคพวกเพื่อนฝูงเยอะ มีทีมงานที่เข้มแข็ง คอยส่งเสริมช่วยเหลือสนับสนุนหลายด้าน ในการทำงานการเมือง ผมให้ความสำคัญในการพัฒนาทางโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาคุณภาพชีวิตควบคู่กันไป รวมทั้งการส่งเสริมกิจกรรมประเพณี ศิลปวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น กำหนดยุทธศาสตร์ในการบริหารงาน นั่นคือ ยึดหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนในการร่วมพัฒนาท้องถิ่น” นักการเมืองท้องถิ่นแดนใต้ว่าถึงหลักการทำงาน

 จากการทุ่มเทในการทำงานเพื่อท้องถิ่นตลอดวาระการทำหน้าที่ของกำนันชี ทำให้เทศบาลตำบลตลาดไชยาได้รับรางวัลต่าง ๆ มากมาย แสดงให้เห็นถึงคุณภาพชีวิตของประชาชนได้มีการพัฒนาขึ้น ชุมชนมีความเข้มแข็ง “เพราะความสุขสบายของประชาชน คือ ความสุขใจของผม” เขาว่า

แต่ผลแห่งการตรากตรำเผาผลาญชีวิตวัยหนุ่มกลับทำให้เขามีโรคประจำตัวเป็นเบาหวาน ไวรัสตับ ตับแข็ง กำนันคนดังสารภาพว่า หมอบอกจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน 5 ปี แต่ถ้ามีโอกาสเปลี่ยนตับจะมีสุขภาพดีขึ้นอายุจะยืนไปได้อีกไม่น้อยกว่า 15 ปี ถ้าไม่มีโรคอื่นมาแทรก ตัดสินใจอยู่นานว่าจะเปลี่ยนหรือไม่ กลัวว่า หลังผ่าตัด หรือขณะผ่าตัดจะตาย “ก่อนผ่าตัด ผมยังสบายและร่างกายแข็งแรงดีจึงลังเลใจ กระทั่งมีคนแนะนำให้รู้จักพรรคพวกที่ได้ผ่าตัดเปลี่ยนตับ บรรยายให้ฟังว่า ดี ไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ เลย ผมจึงตัดสินใจเปลี่ยนตับ ขณะที่นอนรอหมอในโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ผมนึกว่า หลังผ่าตัดผมจะรอดชีวิตหรือเปล่า คิดว่า ตายเป็นตาย ผมเลยเขียนจดหมายลาตายไว้หลายฉบับว่า ถ้าเป็นอะไร ฝากฝังลูกเมีย ญาติพี่น้องและประชาชนไว้”

ชีวิตหลังจากผ่าตัดปรากฏว่า เขาแข็งแรงมาก พูดได้นาน เสียงไม่แหบ ไม่เหนื่อย เหมือนได้ชีวิตใหม่ เจ้าตัวเล่าว่า ได้ตับจากผู้บริจาคให้ก็อยากทำบุญให้กับเจ้าของตับจึงมีความคิดว่า อยากจะทำอย่างไรดี จะทำบุญแบบไหนดี มาลงตรงว่า จะบริจาคเครื่องล้างไตฟอกเลือดให้โรงพยาบาลไชยา เพื่อช่วยเหลือให้ผู้มีโรคภัยไข้เจ็บจะไม่ลำบากการรอคอยคิวฟอกไต และต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ต่อไปชาวอำเภอไชยา ท่าชนะ ท่าฉาง วิกาวดี และพื้นที่ใกล้เคียงจะได้รับการบริการทางการแพทย์ที่ดี มีคุณภาพอย่างทั่วถึง

“อยากฝากถึงทุกคนจากผู้ชายคนนี้ กำนันชี สุขภาพร่างกายที่ดี แข็งแรงเป็นสิ่งที่ดีกว่าเงินทอง หรือทรัพย์สมบัติทั้งปวง อย่างคำที่ว่า สุขภาพดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้ต้องออกกำลัง” ผู้กว้างขวางอำเภอไชยาให้แง่คิด

 

 

RELATED ARTICLES