ก้าวที่ 22  เปิดบัญชีดาวโจร  

างเวลานั่งจับเจ่าใจจดใจจ่อกับภารกิจที่อยู่เบื้องหน้า

หนังสือกองเต็มโต๊ะแต่กลับขยับปากกาวาดลวดลายตัวอักษรไม่ออก อารมณ์นักประพันธ์ไม่โลดแล่นดังใจคิด สมองมัวยึดติดความฟุ้งซ่านที่ร่านเข้ามาในหัว

ผมเชื่อว่า มันเป็นมะเร็งร้ายสำหรับนักเขียนทุกคน โดยเฉพาะนักข่าวอาชีพที่ทะลึ่งอยากก้าวมาเป็นศิลปินนักประพันธ์บันทึกบทละครเรื่องราวชีวิตของตัวเอง

เสียงกระทบแก้วหัวเราะครื้นเครงในวงเหล้า ทำผมคลายเหงาชั่วครั้งชั่วคราว ลืมตาตื่นสะบัดหัวขึ้นมาในรุ่งอรุณของวันใหม่ที่สายโด่เด่ ผมก็ยังสลัดภาพความงี่เงาที่เกิดขึ้นจนเป็นเหตุให้ปากกาหมึกหมดยากเต็มทน

พยายามทบทวนย้อนวันเก่า ประสบการณ์ความโง่เขลาเข้ามาครอบงำการเดินทางของความคิด วิธีการผ่าทางตันไม่พ้นต้องเอาน้ำนรกสีอำพันกระตุ้นเตือนต่อมความรับผิดชอบ เร่งเร้าสูบฉีดเลือดให้เปลี่ยนเป็นเปลวไฟพวยพุ่งกลับสู่โลกความเป็นจริง

หรือผมเป็นโรคพิษสุราเรื้อรังไปเสียแล้ว

“แสงทิพย์แบน โซดา 2 ขวด น้ำแข็งกระป๋อง” ผมบอกกับนุช สาวรุ่นร้านขายน้ำชายคาซุ้มมะรุมข้างกองกำกับการสืบสวนนครบาลพระนครเหนือ ระหว่างนั่งรอสหายสุรารุ่นพี่วงการหนังสือพิมพ์  ไม่นานศักดา เจ๊กจั่น หัวโจกแห่งค่ายเดลิมิเรอร์จอดรถเก๋งบุโรทั่งคู่ใจเดินตามมาสมทบ

“เนื้อแดดเดียวจาน แล้วก็ต้มยำพุงปลาช่อนนะเจ๊เป้า” แกสั่งไม่มองหน้า

พวกเราเพิ่งเสร็จสิ้นการไปทำข่าวตำรวจวิสามัญฆาตกรรมมือปืนคนสำคัญได้ มันเป็นปฏิบัติการจับตายศพแรกที่ผมได้เข้าสัมผัสอย่างใกล้ชิดเพื่อเก็บรายละเอียดเป็นข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์สยามโพสต์ต้นสังกัดในวันถัดมา

ฉากปิดบัญชีดาวโจรกลางเมืองหลวงเกิดขึ้นเมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 1 กันยายน 2535 ชุดเฉพาะกิจปราบปรามมือปืนรับจ้างของกรมตำรวจดวลปืนจับตายคนร้ายบริเวณลานจอดรถของสุขุมวิทโบว์ล ถนนสุขุมวิท แขวงพระโขนง เขตคลองตัน กรุงเทพมหานคร ศูนย์วิทยุนารายณ์ของกองบังคับการตำรวจนครบาลพระนครใต้ส่งเสียงรายงานลั่น

“ไปด้วยกันไหม” ศักดาถาม

“ไปไหนครับพี่” ผมไม่ทันได้ฟังวิทยุ

“เขาวิสามัญฯมือปืนกัน”

“ที่ไหนพี่”

“ถ้าจะไปก็ตามมาขึ้นรถ” นักข่าวมากประสบการณ์ชักหงุดหงิด

เมื่อบึ่งถึงที่หมาย นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ยืนกันพรึบ กระจอกข่าวหลายสำนักเต็มหมดแล้ว ด้วยความที่ยังใหม่ ผมต้องแอบกระซิบเหยี่ยวอาวุโสถามไถ่ใครเป็นใคร ตำแหน่งอะไรบ้าง ก่อนบันทึกความทรงจำเก็บไว้ในหยักสมองในเวลาต่อมา

พลตำรวจเอกพงษ์อำมาตย์ อมาตยกุล รองอธิบดีกรมตำรวจฝ่ายปราบปรามในฐานะหัวหน้าชุดเฉพาะกิจปราบปรามมือปืนรับจ้างของกรมตำรวจ เดินนำทัพมาพร้อมด้วย พลตำรวจโทประชา พรหมนอก ผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ พลตำรวจตรีทวี ทิพย์รัตน์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พลตำรวจตรีสมศักดิ์ ปิตรชาติ ผู้บังคับการตำรวจนครบาลพระนครใต้ พันตำรวจเอกเพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว และพันตำรวจเอกอาทิจ ชูตินันท์ ผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาลพระนครใต้

คนร้ายทราบชื่อ จรัญ หรือรัน พาที อายุ 41 ปี มีภูมิลำเนาอยู่เลขที่ 130/1 หมู่ 1 ตำบาลท้ายดงกลิ่น อำเภอวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์ สภาพศพนอนตะแคงตายอยู่ในลานจอดรถ เลือดทะลักจากบาดแผลที่ถูกคมกระสุนของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เข้าอกขวา 2 นัด อกซ้าย 1 นัด และศีรษะขวาอีกนัด สมองกระจาย มีปืน.38 ซุปเปอร์ ตกอยู่ใกล้ร่างไร้วิญญาณของดาวร้ายชะตาขาดรายนี้ ปากทางเข้าลานจอดรถพบรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ยามาฮ่า ทีแซดอาร์ สีแดง ทะเบียน 1 น-2905 กรุงเทพมหานคร ล้มตะแคง มีหมวกกันน็อกสีน้ำเงินหล่นอยู่ 1 ใบ

ผมยืนนึกภาพนาทีระทึกเหมือนบทบู๊หนังไทยหลังได้พูดคุยจับใจความจากปากร้อยตำรวจเอกประภาส ปิยะมงคล และร้อยตำรวจโทกิตติศักดิ์ เที่ยงกมล ทีมงานชุดเฉพาะกิจผู้พิชิตมือปืนเมืองมะขามหวาน

“ไอ้รันมันเพิ่งหนีรอดจากการตามล่าของพวกเรา เมื่อคราวปิดเมืองสระบุรี และลพบุรี จับตายแก๊งมือปืนรับจ้างกลุ่มเดียวกับมันรวดเดียว 4 ศพครับนาย” ผู้กองประภาสรายงานผู้บังคับบัญชา กระทั่งพวกเขาได้ข่าวว่า มันหลบไปกบดานอยู่ชุมชน กม.11 ย่านบางซื่อ และมักใช้พาหนะเป็นรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า ทีแซดอาร์ สีแดง เป็นประจำ นักสืบนอกเครื่องแบบจึงซุ่มดักตามที่สายข่าวรายงานนาน 2 วัน

กระทั่งบ่ายวันเดียวกันนี้ จรัญสวมหมวกกันน็อกขึ้นรถจักรยานยนต์คู่กายหลบออกจากแหล่งกบดานย่านบางซื่อเตรียมมุ่งหน้าไปรับใบสั่งฆ่าแถวสุขุมวิท ร้อยตำรวจเอกหนุ่มแห่งสืบสวนนครบาลพระนครใต้ที่ถูกผู้ใหญ่ไว้เนื้อเชื่อในฝีไม้ลายมือดึงตัวไปอยู่ชุดเฉพาะกิจจึงนำกำลังนอกเครื่องแบบสะกดรอยตามไปห่าง ๆ

“มันน่าจะรู้ตัวว่ะ พวกเรา รีบเร่งเครื่องแซงไปปาดหน้ามัน” ร้อยตำรวจเอกประภาสวิทยุสั่งการเมื่อจับได้ถึงอาการผิดสังเกตของเป้าหมายคนสำคัญ

รถเก๋งของตำรวจนักสืบห้อเครื่องจี้ติดมอเตอร์ไซค์คนร้ายถึงหน้าสุขุมวิทโบว์ล จรัญไม่ยอมทิ้งลายนักฆ่า เลือกทิ้งรถแล้ววิ่งชักปืนสาดกระสุนใส่เจ้าหน้าที่ทันที เสียงปืนดังสนั่นทำเอาคนบริเวณนั้นแตกตื่นหนีกันจ้าละหวั่น

“ถ่ายหนังกันหรือคะ”

“หลบไปคุณป้า ตำรวจกำลังไล่จับผู้ร้าย” หัวหน้าทีมเอ็ดตะโรหลบกำบังอยู่หลังรถ พยายามใช้สมาธิกับการดวลตอบโต้

เขาและหมวดกิตติศักดิ์อาศัยประสบการณ์ตามยุทธวิธีตำรวจสาดคมกระสุนใส่มือปืนแม่นเหมือนจับวางปลิดชีพปิดบัญชี จรัญ พาที เป็นผีเฝ้าลานจอดรถในเวลาไม่ถึง 10 นาที ผู้กองประภาสเป่าปากหันมาขอบคุณนายตำรวจรุ่นน้องแล้วรีบรายงานผู้บังคับบัญชาทันที

พลตำรวจเอกพงษ์อำมาตย์ อมาตยกุล รองอธิบดีกรมตำรวจให้สัมภาษณ์ว่า จรัญ เป็นมือปืนกลุ่มเดียวกับสมศักดิ์ หรือเบิ้ม หลำใจซื่อ ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดเฉพาะกิจยิงตายไปเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่จังหวัดสระบุรี ประวัติของจรัญ มีหมายจับคดีฆ่าอยู่หลายคดี รับงานเดินสายฆ่าคนกับเบิ้มมาตลอด

“แผนการปราบปรามมือปืนรับจ้างของหน่วยเฉพาะกิจของเราจะดำเนินการต่อไปเรื่อย ๆ ในช่วงก่อนการเลือกตั้งที่จะถึงนี้แน่นอน” รองอธิบดีกรมตำรวจย้ำน้ำเสียงเอาจริงส่งสัญญาณตาต่อตาฟันต่อฟันไปถึงนักฆ่ารับจ้างทั้งหลาย

ผมเอาปากกาจดมือระวิง นั่งรถกลับมาที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลเก่า พิมพ์ข่าวส่งแฟกซ์เข้าโรงพิมพ์เสร็จก็มานั่งจมอยู่โลกในวงเหล้า

น้ำนรกขวดแบนทำเวลาผ่านไปรวดเร็ว

“นุชเอามาอีกแบน” ผมว่า

“ไม่สั่งกลมไปล่ะพ่อหนุ่ม”เจ๊เป้าร้านข้าวแซว

“ไม่ไหว มันน่ากลัวเกิน” ชัยวุฒิ มั่นสิงห์ แห่งเดอะเนชั่นปฏิเสธ ทำปัญญา พันธุ์เผือก คู่ซี้มองค้อน

“กระดกให้หมดก่อนค่อยสั่งใหม่ก็ได้ หรือพี่รีบกลับบ้าน”

“เรื่องของกู” ปัญญาเริ่มอ้อแอ้

“เสียดายเนอะที่เข้ายิงกัน 4 ศพเราไม่ได้ไป” ผมเปลี่ยนเรื่อง “ได้ข่าวว่า เขาขนนักข่าวประจำกรมตำรวจนั่งรถตู้ไปเลย ทำอย่างกับรู้ล่วงหน้า ยิงเปรี้ยงป้างกันกลางเมืองข้าม 2 จังหวัดเลย”

ศักดาหัวเราะ “คงอย่างนั้นมั้ง ทีมเฉพาะกิจชุดนี้มือฉมังทั้งนั้น ระดับหัวแถวของกรมตำรวจเลยล่ะ”

“หรือครับ ผมจะได้จำไว้”

“จำไว้เลยชุดของทวี ทิพย์รัตน์ จะมีตั้งแต่ สมคิด บุญถนอม สิทธิพร โนนจุ้ย ฉัตรกนก เขียวแสงส่อง สมชาย จูสนิท ประภาส ปิยะมงคล รณศิลป์ ภู่สาระ เป็นตำรวจสืบสวนนครบาลหมดที่แกปั้นมากับมือ” หนุ่มเดลิมิเรอร์ขยายความ

แสงทิพย์แบนที่สามขยับมาโผล่บนโต๊ะพร้อมมิ๊กเซอร์ “ในร้านมีอีกเป็นลัง หรือจะเอาไปอาบก็ได้นะ” เจ๊เป้ายังคงสนุกปาก แต่นุชไม่ตลกด้วย แถมสีหน้าเขินอายทุกครั้งเวลาเอาเหล้ามาวาง

“นุชมันเป็นอะไรของมันวะ” ชัยวุฒิตั้งข้อสังเกต

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”

ศักดาหัวเราะกำลังจะเอ่ยปาก แต่ผมห้ามไว้ บอกไม่ต้องเลย ผมไม่ได้มีอะไรด้วย “มันก็แค่อำกันในวงเหล้า อย่าคิดมากน้อง” แกแก้เกี้ยว

สนทนาจนค่อนคืน จ่าสิบตำรวจเดชาชัย สุขีรัตน์ จ่าสืบตำรวจสุพีร์ พลราชา กับพวกตำรวจศูนย์ป้องกันปราบปรามการโจรกรรมรถ กองบัญชาการตำรวจนครบาล เดินเข้ามานั่งโต๊ะประจำที่ไม่ห่างพวกเรามากนัก

“อ้าว สวัสดีน้อง” จ่าเดชาชัยหันมาเห็นผมยกมือไหว้ “เป็นไง ไปทำข่าววิสามัญฯมาหรือเปล่า ของสืบใต้หรือ”

“ของชุดเฉพาะกิจกรมตำรวจครับ”

“อ๋อ ทีมของนายวีหรือ ชุดนี้สุดยอดเลยนะ สูสีพอกับชุดนายนู”

“จริงหรือครับ” ผมได้ยินกิตติศัพท์ในวงเหล้านี้มาบ้างแล้วถึงการใช้มาตรการเด็ดขาดปราบปรามการแก๊งขโมยรถในเมืองหลวงที่ระบาดหนักมากสมัยปี 2533 พลตำรวจตรีธนู หอมหวล ยังเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้มือดีอย่าง เมธี กุศลสร้าง พีระพงศ์ วงษ์สมาน ลบบัญชีกุดหัวเหล่านักโจรกรรมตายเป็นเบือ

โดยเฉพาะแก๊งของนิกร หวังกลับ หัวหน้าขบวนการขโมยรถตัวเอ้ ที่ต่อมาสิ้นชื่อเพราะถูกชุดเฉพาะกิจธนูเป่าดิ้น ก่อนขยายผลจับตายลูกสมุนอีก 2 ศพภายในซอยศรีนคร ถนนนางลิ้นจี่ แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร

จ่าเดชาชัยอยู่ในทีมปิดบัญชีคืนนั้น เขาบันทึกความจำไว้ว่า เมื่อเวลา 03.00 น.วันที่ 13 พฤศจิกายน 2533 กำลังของพันตำรวจตรีเมธี กุศลสร้าง ได้รับคำสั่งให้ปิดล้อมซอย เพราะทราบว่า แก๊งโจรกรรมรถจะวนเวียนเข้ามาก่อเหตุจองเวรสุจริตชนเป็นประจำ ระหว่างตรวจผ่านมาถึงข้างโกดังเก็บสินค้าของบริษัทเนชั่นแนล พบชายต้องสงสัยกำลังเปิดประตูรถกระบะแวนอีซูซุ สีขาว ทะเบียน 2 ร-0981 กรุงเทพมหานคร

ตำรวจนอกเครื่องแบบชุดปราบปรามการโจรกรรมรถแสดงตัวเข้าตรวจค้น แต่ถูกคนร้ายเปิดฉากยิงสวนมาก่อน เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ต้องยิงตอบโต้ ผลคนร้ายตายคาที่ 2 ศพ  คือ สีนวน วงษ์เทศ อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 47 หมู่ 3 ตำบลโคกไทย อำเภอโคกปีบ จังหวัดปราจีนบุรี และ สมชาย รัตนธารากุล อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 8/102 แฟลต 2 ก. ซอยปลูกจิตต์ ถนนวิทยุ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร

ทั้งคู่ล้วนมีประวัติแก๊งโจรกรรมรถ โดยมีผลสืบต่อเนื่องมาจากการวิสามัญฆาตกรรม 4 ศพรวดในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลลาดพร้าว ก่อนหน้าเพียงสัปดาห์เดียว มี นิกร หวังกลับ เป็นหัวโจกถูกเด็ดหัวไปด้วย พฤติการณ์จะสลับกันออกลักรถปิกอัพยี่ห้อยอดนิยม อาทิ โตโยต้า อีซูซุ นิสสัน ทั้งในเขตกรุงเทพมหานคร และจังหวัดใกล้เคียง นำไปให้บุญเลิศ แซ่แต้ ชำแหละชิ้นส่วนที่ตลาดรังสิต

ตัวของบุญเลิศ มีประวัติเคยถูกจับพร้อมของกลางจำนวนมาก แต่ประกันตัวหนี และยังไม่หยุดการกระทำความผิด แถมยังมีตำรวจที่หากินในวงจรนี้อีกคนที่ตอนหลังจนมุม คือ จ่าสิบตำรวจพรศักดิ์ เพียรเกษตรกิจ หรือจ่าแดง เดิมเป็นตำรวจประจำกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์ และย้ายเป็นเจ้าหน้าที่ขนส่งจังหวัดนครสวรรค์ ในข้อหา ลักรถยนต์ในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลสุทธิสาร

“สมัยนั้นพวกเราทำงานกันสนุกมาก” จ่าสิบตำรวจชุดเฉพาะกิจปราบปรามแก๊งขโมยรถว่า “ว่าง ๆ ขึ้นไปกินกาแฟข้างบนที่ทำงานสิ ชวนมาหลายทีแล้ว ไม่เห็นขึ้นไปเลย แล้วผมจะเล่าเรื่องอะไรมัน ๆ ให้ฟังอีกเยอะ”

ผมได้แต่รับคำ คิดลำพังว่า ไม่รู้เมื่อไหร่จะมีโอกาสเป็นเยือนแหล่งข่าวคนสำคัญคนหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตแรกรุ่นของวัยทำงาน

“พี่ผสมอะไรครับ”

“ไม่เป็นไร พี่ไม่กินเหล้า”

“อ้าว เห็นพี่มานั่งประจำ นึกว่าดื่มด้วย”

“ผมกินน้ำเปล่า มานั่งเป็นเพื่อนเขา” ตำรวจหนุ่มนอกเครื่องแบบอัธยาศัยดียิ้มเป็นกันเอง ขณะที่เพื่อนร่วมโต๊ะล้วนหน้าตาขึงขัง ผมยาว หนวดเครารุงรัง เหมาะจะรับบทโจรมากกว่าเป็นตำรวจมือปราบ

ก้าวเล็ก ๆ ในการหาข่าว สร้างแหล่งข่าวของผม เริ่มต้นที่ดงนักสืบแห่งนี้ ซุ้มมะรุมแหล่งชุมนุมนักสืบมือพระกาฬ และล้วนเป็นตำนานปิดทองหลังพระ ข้อมูลประสบการณ์อัดแน่นอยู่ในคลังสมอง มีระบบคัดกรองอยู่ที่ความไว้เนื้อเชื่อใจ

ผมอยากบอกว่า “คอเหล้า คอข่าว คอเดียวกัน”

ชีวิตนักข่าววัยมันของผมถึงเริ่มต้นจากโลกแห่งสุรา

RELATED ARTICLES