“เราจะเป็นเพื่อนคู่คิด คุยกันเชิงบวก ให้กำลังใจกัน”

 

ลูกต้นรักมานาน 35 ปี วันนี้ยังคงดูแลหัวใจประคับประคองกันไม่ห่าง

“คุณต๋อม” อัจฉรา ภักดีณรงค์ ผู้จัดการฝ่ายวิชาการ ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย จำกัด ภรรยาคนเก่งของ พ.ต.อ.ณรงค์ฤทธิ์ ภักดีณรงค์ รองผู้บังคับการตำรวจสืบสวนภูธรภาค 1 ถือเป็นกำไรชีวิต

เธอเติบโตในครอบครัวข้าราชการตำรวจที่นครปฐม  วัยเด็กค่อนข้างเรียบร้อยขี้อายเรียนโรงเรียนสตรีราชินีบูรณะในเมืองส้มโอ พอขึ้นมัธยมปลายไปต่อโรงเรียนพระปฐมวิทยาลัยกลายเป็นนักกิจกรรมตัวยง รู้จักรุ่นพี่รุ่นน้องมากหน้าหลายตา

ก่อนมาตกหลุมรักนักเรียนนายร้อยหนุ่มเหมือนโชคชะตาลิขิตพาให้ครองคู่กัน

“เจอกันครั้งแรกตอนนั้นเราเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4” คุณต๋อมจำภาพประทับใจแม่นยำ เธอว่า  มันคงเป็นพรหมลิขิต วันนั้นมาติวกวดวิชาแถววัดอินทรวิหาร ใกล้แยกบางขุนพรหม เพราะมีเวลาเรียนน้อย เตรียมจะเอ็นทรานซ์เพื่อเรียนคณะเศรษฐศาสตร์  อยากเป็นนักเศรษฐ์ศาสตร์ พัฒนากรจังหวัด หรือทำงานธนาคาร แต่ดันลืมทำรายงานจึงขอเพื่อนแยกกลับบ้านก่อน นั่งรถเมล์กลับคนเดียว สมัยก่อนไม่มีรถทัวร์ เป็นสาย 83 เลยเจอกับเขาบนรถ

คุณต๋อมบอกว่า ฝ่ายชายเป็นนักเรียนนายร้อยปี 1 ยังไม่ใส่ชุดนายร้อยตำรวจ ใส่เสื้อเชิ้ตขาว กางเกงสีกากี บนรถไม่ค่อยมีคน เราหลับ เขามานั่งด้วย เหลือเชื่อนะเจอกันบนรถเมล์ ตลกดี เขามามอง  พอเราตื่น เขาถามว่า มาทำอะไรที่กรุงเทพฯ ก็บอกไปว่า เรียนกวดวิชา เราก็ไม่กล้าคุย ไม่ชอบคุยกับคนไม่รู้จัก เขาถามอีกว่า เรียนที่ไหน พอบอกไปปรากฏว่า เขารู้จักรุ่นพี่ที่โรงเรียน  หลังจากนั้นสักระยะเขามาหาที่บ้าน โดยถามทางจากรุ่นพี่  ก่อนเขียนจดหมายหากัน เพราะไม่มีโทรศัพท์เหมือนสมัยนี้

คู่ชีวิตรองผู้การหนุ่มยอมรับว่า ตอนแรกที่เห็นคิดว่า เขาเป็นนักเรียนพลตำรวจ ไม่คิดว่าเป็นนายร้อย เพราะนครปฐมก็มีโรงเรียนพลตำรวจ ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวเหมือนกัน แต่เขามาสอนทีหลังให้สังเกตว่า ถ้าเป็นนักเรียนนายร้อยจะผูกเน็กไทดำ แรก ๆ ก็ยังไม่คิดอะไร เพราะเรามีเพื่อนเยอะ ที่มาสะดุดสนใจเขาตอนหลัง เพราะตาเขาซื่อมาก ดูจริงใจ

ช่วงคบหาดูใจกันใหม่ ๆ คุณต๋อมเล่าว่า จะเขียนจดหมายหากันเรื่องติวมากกว่า เราเป็นคนที่ชอบเรียน เขาก็ชอบเรียน เขาเก่งเรื่องวิชาคำนวณ เราจะปรึกษาเรื่องการบ้าน คิดเป็นพี่เป็นน้องลองคบกันไปก่อน เขียนจดหมายไปเรื่อย แทบทุกอาทิตย์  โทรศัพท์บ้านไม่มี สมัยนั้นยิ่งต่างจังหวัดขอโทรศัพท์ยากมาก นานมากกว่าจะได้ พ่อแม่ตอนแรกไม่รู้ เพราะจดหมายส่งไปโรงเรียน ครูผู้ปกครองรู้ก็เรียกไปถาม ก็เล่าให้ฟัง ครูบอกว่า ให้อยู่ในกรอบที่ถูกต้อง เด็กสมัยนั้นส่วนใหญ่เรียบร้อยอยู่แล้ว สื่อมันยังไม่เยอะ

หลังเรียนจบมัธยมปลาย คุณต๋อมไปเลือกลงเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง จบออกมาเป็นลูกจ้างชั่วคราวดูแลงานด้านสถิติของกรมชลประทาน ส่วนฝ่ายชายลงเป็นรองสารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลพลับพลาไชย 2 ทั้งที่เดิมทีอยากจะลงประจำบ้านเกิดจังหวัดนครราชสีมา แต่ด้วยอานุภาพแห่งรักเลยตัดสินใจไม่อยากย้ายไปไกลหัวใจ สุดท้ายทั้งคู่ลงเอยด้วยการเข้าสู่พิธีมงคลสมรสหลังศึกษาดูใจกันมานาน 8 ปี

“ รักที่เขาเป็นคนซื่อ ที่เลือกเขา เพราะเขาพูดตรง มีความรู้สึกว่า เขาไม่โกหก แม้บางครั้งจะไม่หวานหู ตรงนี้ที่ทำให้มั่นใจในตัวเขา อาชีพมาทีหลัง เมื่อมั่นใจว่า เขาเป็นคนดี เราก็อยู่กับเขาได้ พื้นฐานเขาเป็นคนคิดดี ทำดี เป็นคนตรง ซื่อสัตย์ มันง่าย ยิ่งแวดวงตำรวจมีอบายมุขรอบๆ ให้ดึงดูด แต่เราภูมิใจว่า เขาไม่แปดเปื้อนเลย ยิ่งอยู่ ยิ่งมีความมั่นใจเขามากขึ้น” แม่บ้านนายพันตำรวจเอกให้เหตุผลในการเลือกคู่ครอง

แม้หลายครอบครัวตำรวจจะประสบปัญหาแตกแยกอันเนื่องมาจากการแต่งตั้งโยกย้าย แต่สำหรับบ้านภักดีณรงค์ นำเอาความเข้าใจมายึดหลักการดำรงชีวิตรักได้อย่างลงตัว คุณต๋อมอธิบายว่า จะปรึกษากันเสมอ ตอนสามีย้ายออกจากนครบาลลงพื้นที่ภูธร เราจะไม่ย้ายไปกับเขานะ ไม่พร้อมไปอยู่ต่างจังหวัด เมื่อมองว่า สามีย้ายอยู่ในพื้นที่ภูธรภาค 1 ไม่ไกลกรุงเทพฯมากนัก คิดว่า คงไม่ใช่ปัญหา อีกอย่างอาจด้วยความที่เราไม่มีทายาท ภาระความวุ่นวายเรื่องลูกก็หมดไป

เธอบอกว่า ช่วงสามีย้ายไปต่างจังหวัด ไม่ค่อยเจอกันจะอาศัยโทรศัพท์คุย ขณะที่เขาได้ทำระบบเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยในบ้านไว้อย่างดี ถึงกระนั้นก็ตาม เราก็ต้องดูแลตัวเองด้วย ตั้งแต่การระมัดระวังเวลาลงรถ ขึ้นรถ การปิดเปิดประตูบ้านในเวลาที่เราต้องใช้ชีวิตอยู่ลำพัง และอีกเหตุผลที่ไม่อยากย้ายตามไปกับสามี เพราะเราคิดจะทำงานให้ดี เราเรียนมา อยากทำตัวให้มีคุณค่า ไม่อยากเป็นแม่บ้านที่ไม่ทำงาน พอตัวเรางานยุ่ง ตัวเขางานยุ่งก็เลยไม่คิดอะไร เพราะต่างคนต่างก็ทำงาน

“เราจะเป็นเพื่อนคู่คิด คุยกันเชิงบวก ให้กำลังใจกัน ช่วยกันแก้ไขปัญหาให้ลุล่วง”ภริยารองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรีบอกถึงอุดมคติการดำเนินชีวิตคู่ เธอว่า ปัญหา คือ เรื่องเวลา บางทีช่วงเทศกาลมักจะมีปัญหา เพราะลาไม่ได้ หรือเวลาสามีออกตรวจ ต้องออกจากบ้านบ่อยมาก บางทีเราก็คิด เทศกาลครอบครัวอื่นวางแผนไปเที่ยวที่นั่น ที่นี่ แต่เราหมดสิทธิ์ เพราะเขาต้องทำงาน เวลาส่วนตัวจึงค่อนข้างน้อย ยิ่งสมัยเป็นตำรวจใหม่ ๆ เข้าเป็นร้อยเวรแทบไม่มีเวลาพัก อยู่โรงพักเข้าเวรเที่ยงคืน ออกเวรเช้าก็นอน กินข้าวเสร็จก็ไปฝากขังศาล กลับมาก็ต้องนอนอีก พอเที่ยงคืนก็ต้องมาเข้าเวรอีก อยู่แบบนั้นตลอด แต่เราก็ชิน

สะใภ้ตระกูลภักดีณรงค์มองว่า ด้วยความที่ตัวเองมุมานะในการทำงานแบบหวังผลเลิศ อยากทำงานให้ได้ดี ทำให้ไม่มีเวลามานั่งคิดว่า สามีไปไหน สามีว่างหรือไม่ ห่วงแค่ว่า สามีจะจัดสรรเวลาดูแลสุขภาพตัวเองอย่างไร งานประจำถึงค่อนข้างประสบความสำเร็จ ได้เจ้านายดี เพื่อนร่วมงานดี ลูกน้องดี มีรายได้มาช่วยจุนเจือสร้างครอบครัว นอกจากนี้ ยังแบ่งเวลาไปช่วยงานสังคมเกี่ยวกับสมาคมแม่บ้านตำรวจ มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ที่ขาดไม่ได้ คือ งานกาชาด ทุกคนต้องมารวมตัวกัน เราไม่เคยขาด ต้องไปทุกปี เพราะถือเป็นกิจกรรมช่วยสังคม สนุกที่ได้เจอเพื่อน เหนื่อย แต่มีความสุข เป็นงานที่เรารอคอย เหมือนได้ทำบุญร่วมกัน ทำให้รู้จักเพื่อนแม่บ้านด้วยกันหลายคน

ถามว่าเสียใจไหมที่ไม่มีทายาท คุณต๋อมบ่นเสียดายมากกว่า ไปทำกิฟต์หลายครั้งไม่สำเร็จ หมอบอกว่า คุณผู้หญิงไม่แข็งแรง สุขภาพไม่สมบูรณ์ ตอนหลังก็ไปตรวจอีกที หมอหัวเราะว่า ไม่ใช่คุณผู้หญิงอย่างเดียว คุณผู้ชายก็ด้วย เลยไม่มีลูก อยู่กัน 2 คน ประคองชีวิตกันมา เอาเวลาว่างมาเลี้ยงปลาแทน ไปไหนมาไหนก็จะห่วงปลา ต้องให้อาหารเป็นเวลา ถือเป็นกิจกรรมยามว่างของเรา เช่นเดียวกับการปลูกต้นไม้ไว้เต็มบ้าน  “ถึงงานยุ่ง แต่ก็ต้องจัดสรรเวลา ต้องประคองชีวิตคู่กันไป บอกเขาแล้วว่า การแต่งงานกับเขา คือกำไรชีวิตเรา ต่อไปก็จะขอกำไรแบบนี้ตลอดดีกว่า อาจเพราะเราเข้าใจกัน เขาไม่ได้เป็นคนโรแมนติก แต่เขาเป็นคนตรง”

คุณต๋อมยังแอบลุ้นสามีทุกครั้งเมื่อถึงฤดูแต่งตั้งโยกย้าย แม้ฝ่ายสามีจะไม่ให้ลุ้น เธอถึงขั้นแอบไปบนบานศาลกล่าวไว้ พอคำสั่งการแต่งตั้งออกมา สามีจะมาแซวว่า ต้องไปแก้บนที่ไหนบ้าง เรื่องนี้ เจ้าตัวยิ้มรับว่า ส่วนใหญ่เราจะไปไหว้หลวงพ่อโสธร อยากให้เขาอยู่ตรงนั้นตรงนี้ ได้ตำแหน่งนั้น ตำแหน่งนี้ แต่เขาจะเฉย ๆ สามีจะบอกเสมอว่า ถ้านั่งฝันอย่างเดียวคงไม่ได้หรอก ต้องทำงานอะไรมาก่อนแล้ว เพื่อไปสู่สิ่งเหล่านั้น ได้ไม่ได้ก็ถือว่า ทำเต็มที่ บางคนก็ได้แต่ฝันอย่างเดียว

“บางทีเราเห็นเขามีปัญหา ก็สงสารเขา บางเหตุการณ์ก็เป็นห่วงว่า เขาจะผ่านอุปสรรคนั้นไปได้ไหม ลุ้นอยู่ในใจ พยายามพูดกับเขาให้สู้นะ มันต้องผ่านไปได้ ให้กำลังเขาตลอด ตอนเป็นผู้กำกับราชาเทวะ มีเรื่องชายชุดดำบุกลานจอดรถสนามบินสุวรรณภูมิก็เครียดเหมือนกัน มีข่าวลงหนังสือพิมพ์ ออกทีวี คิดว่า สมามีจะรอดไหมนะ จะโดนเล่นงาน จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้หรือ ห่วง สุดท้ายก็ผ่านมาได้ เราจะแอบห่วง แต่ต่อหน้าจะแกล้งบอกเขาไปว่า ทำได้อยู่แล้ว เขาคงรู้ว่าเราห่วง” หญิงสาวเปิดเรื่องราวรักยืนยง

 

RELATED ARTICLES