“ต้องขอบคุณที่ได้ไปอยู่สืบสวนเหนือ  ที่นั่นสอนทุกเรื่อง”

ถือเป็นนายตำรวจคนแรกที่พลิกฟื้นหน่วยตำรวจตรวจคนเข้าเมืองขึ้นมาอยู่หัวแถวในเรื่องการปราบปรามอาชญากรรมไม่แพ้นครบาล หรือสอบสวนกลาง

เป็นผู้บัญญัติศัพท์คำว่า “แก๊งลูกหมู” จนกลายเป็นภาษาสากลของแวดวงนักข่าวเมืองไทย

พล.ต.ต.ขรรค์ชัย อนันตสมบูรณ์ อดีตรองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ชาวอำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี เข้ามาเรียนเมืองกรุงตั้งแต่ประถม 4 ท่ามกลางความหวังของพ่อและแม่ที่ต้องการเห็นลูกมีความรู้ติดตัวในภายภาคหน้า กระทั่งจบปริญญาตรีนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ก่อนบินไปคว้าปริญญาตรีรัฐศาสตร์ที่สหรัฐอเมริกาอีก 1 ใบ

ปี 2518 เริ่มต้นชีวิตตำรวจในตำแหน่งรองสารวัตรที่กองตำรวจทางหลวง แล้วย้ายมาสังกัดกองกำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาลพระนครเหนือ เป็นรองสารวัตรแผนกตรวจยานพาหนะทางอากาศ กองตรวจคนเข้าเมือง จากนั้นกลับมาอยู่นครบาลอีกครั้งที่กองกำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาลพระนครใต้

สร้างผลงานโดดเด่นสมัยเป็นสารวัตร กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและเยาวชน ที่ได้รับคำชมเชยจากกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องกำราบนักเรียนนักบู๊ทั้งหลายจนอยู่หมัด ก่อนเลื่อนขึ้นเป็นรองผู้กำกับการ 4 กองตรวจคนเข้าเมือง

ทำงานสืบสวนคลี่คลายคดีอาชญากรรมข้ามชาติมากมายให้หน่วยงานอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ผู้บังคับบัญชาเห็นความสามารถจึงขยับให้เป็นผู้กำกับการสืบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เป็นรองผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 3 และได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 3 คุมด่านตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศจำนวน 53 ด่านในเวลาต่อมา

ได้รับฉายา “นายตำรวจมือปราบแห่ง สตม.”

ขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เป็นรองจเรตำรวจแล้วคืนถิ่นเก่ากลับมานั่งเป็นรองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตำแหน่งสุดท้ายก่อนเกษียณอายุราชการ

“ผมอยากเป็นตำรวจมาตั้งแต่เด็ก” พล.ต.ต.ขรรค์ชัยเริ่มลำดับเรื่องราวของชีวิต

“สมัยเรียนอยู่โรงเรียนรุจิเสรีวิทยา คุณครูได้ให้เด็กนักเรียนออกไปพูดหน้าชั้นว่าอนาคตอยากเป็นอะไร มีผมคนเดียวที่บอกอยากเป็นตำรวจ เพราะที่นั่นมีแต่ลูกพ่อค้า และผมก็ทำได้มาถึงจุดนี้ แม้ไม่ได้จบนายร้อย ไม่มีรุ่นอย่างธรรมศาสตร์ หรือจุฬาลงกรณ์”

เขาบอกเหตุผลที่ตัดสินใจเป็นตำรวจ เนื่องจากตอนเด็ก เห็นข้าราชการกดขี่ข่มเหงชาวบ้าน โดยเฉพาะข้าราชการตำรวจ ฝังใจว่า ไม่เคยดูแลทุกข์สุขของประชาชน มีโจรผู้ร้ายไม่เคยมา แต่พอชาวบ้านจัดงานประเพณีรื่นเริงนานทีปีหน มีการเล่นพนันเล็กน้อย ตำรวจกลับโผล่มาจับ ไม่ได้จับจริงจัง แต่จับเพื่อเคลียร์เงิน มันรับไม่ได้ ตั้งใจว่า ถ้าเป็นตำรวจจะไม่ทำแบบนี้

 “ผมไม่ได้บอกว่า การเป็นตำรวจเราจะเปลี่ยนแปลงได้ทั้งหมด แต่ถ้ามีโอกาสก็อยากทำ กลับกลายเป็นว่าต้องมาเจอเรื่องกดดันจนคิดลาออกตั้งแต่ยศแค่ร้อยตำรวจตรี สมัยเป็นรองสารวัตรอยู่สืบสวนเหนือ” 

พล.ต.ต.ขรรค์ชัยเล่าว่า ไปติดตามจับกุมผู้ต้องหาคดีเรียกค่าไถ่พ่อค้าเพชรแถวบ้านหม้อ สืบมาว่าผู้ต้องหาหนีไปกบดานอยู่ที่เชียงราย กำลังของสืบสวนเหนือก็เดินทางไปจนจับได้แล้วเอาตัวขึ้นรถตู้กลับกรุงเทพฯ มาในคืนนั้นเลย ปรากฏว่าเกิดอุบัติเหตุรถชน เขาเป็นคนขับ ถูกตั้งกรรมการเอาผิดวินัย “ ผมเจ็บ อีกหลายคนก็เจ็บ นอนอยู่โรงพยาบาลหลายวัน มีนายมาเยี่ยมเต็มไปหมด หลังจากนั้นต้องช่วยตัวเอง หาว่าผมขับรถประมาท ไม่มีหน้าที่ขับรถ ทำไมถึงมาขับ เหมือนโดนกลั่นแกล้ง เอาระเบียบมาอ้าง พลขับในกองสืบ มีคนเดียว ถ้าตามระเบียบก็ไม่ต้องทำงานกันแล้ว ไม่ได้มองหลักความจริง ผมเป็นนายตำรวจด้วยซ้ำ”

“เรื่องผมไปอยู่กองคดี ดองนานเกือบ 2 ปี เงินเดือนไม่ขึ้น ผมไปถามเจ้าหน้าที่ที่กองคดี ถามเมื่อไหร่เรื่องจะเสร็จ กองคดีบอกว่า เรื่องยังไม่ยุติ เพราะเกี่ยวกับเรื่องทางแพ่ง รถทางราชการเสียหาย ต้องส่งเรื่องไปหลายที่ ผมถามว่า อีกนานมั้ย ผมยินดีชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่ง หักเงินเดือนได้ เขาบอกไม่ได้ และอีกกี่ปีไม่รู้เสร็จเมื่อไหร่ ทำเอาผมท้อเหมือนกันนะ บาดเจ็บสาหัสแล้วยังต้องโดนตั้งกรรมการ ทั้งที่ตอนนั้นได้อีกขั้นก็เป็นร้อยตำรวจโทแล้ว กลับโดนระงับ คิดจะลาออกเลย พ่อแม่พี่น้องต้องมาคุย บอกแค่นี้เพิ่งเริ่มต้น เราต้องสู้ ต้องเข็มแข็ง”

“กรณีที่เกิดขึ้น ผมเคยเอาไปเป็นตัวอย่างพูดในโรงเรียนผู้การ ผมต้องไปหาเพื่อนคนนึง พ่อเป็นอธิบดีกรมตำรวจ ตัวเขาก็เป็นตำรวจ เล่าให้ฟังว่าโดนยังไง เขาว่าน่าจะบอกตั้งนานแล้ว ไม่น่าเชื่อ เพื่อนผมเขาพาไปพบหน้าห้องคุณพ่อเขา แค่ พ.ต.อ.พิเศษ เขียนนามบัตรใบเดียวไปที่กองคดี อาทิตย์สองอาทิตย์ก็จบ ถึงวันนี้ ผมยังไม่รู้เลยว่า เรื่องจบได้อย่างไร นี่คือเรื่องจริง ผมมานั่งย้อนดู แล้วพวกที่อยู่ไกลปืนเที่ยงล่ะ จะทำยังไง ขวัญกำลังใจจะเป็นอย่างไร ถ้าไม่รู้จักผู้ใหญ่” พล.ต.ต.ขรรค์ชัยบอก

หากทว่าเรื่องราวความเจ็บปวดใจที่เกิดขึ้นเพราะคนองค์กรเดียวกันยังตามมาหลอกหลอนถึงช่วงไม่กี่ขวบปีก่อนเกษียณอายุราชการอีก พล.ต.ต.ขรรค์ชัยระบายความรู้สึกที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อนว่า “ตอนเป็นรองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง มีผู้ใหญ่ระดับสูงของรัฐบาลหาว่า ผมประวัติไม่ดี เป็นมาเฟียรีดไถคนต่างด้าว เพราะอยู่ตรวจคนเข้าเมืองมานาน ผมไม่เคยเสียใจขนาดนี้ มันหนักนะสำหรับผม ชีวิตไม่เคยเจอ คนติดเงินผมจะทวงผมยังไม่กล้าเลย เจอแบบนี้ผมรับไม่ได้ ตัดสินใจขอลาออก แต่ติดหลักเกณฑ์ระเบียบ ทำให้ต้องทนอยู่ยันเกษียณ”

ผู้สร้างตำนานนักสืบในหน่วยตำรวจตรวจคนเข้าเมืองย้อนผลงานของตัวเองว่า เริ่มต้นตอนเป็นรองผู้กำกับการ 4 กองตรวจคนเข้าเมือง ได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องสืบสวน แต่มีกำลังพลไม่กี่คน เพราะงานปราบปรามยุคนั้น ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองไม่เน้น ถือเป็นงานสนับสนุน ไม่ใช่งานหลัก เรากลับมองการที่มาเป็นตำรวจเพราะต้องการจับผู้ร้าย เมื่อไปอยู่จึงพยายามพลิกฟื้นหน่วยให้มีผลงานการจับกุมบ้าง

“ต้องขอบคุณที่ได้ไปอยู่สืบสวนเหนือ  ที่นั่นสอนทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น ความอดทน วิธีการสืบสวน ผมเอามาปรับใช้ปลุกหน่วยสืบสวนตำรวจตรวจคนเข้าเมืองขึ้นมา จริง ๆ แล้ว ลูกน้องที่นี่เทียบกับสืบเหนือ ต่างกันยิ่งกว่าฟ้ากับเหว เขาอยู่แบบสบาย จับแบบนิดหน่อย ผู้ใหญ่ไม่ให้ความสำคัญ ไม่ใช่หน่วยงานหลัก ผมไปอยู่ก็อยากทำ ไม่ได้เก่ง แต่ที่นั่นไม่เคยทำ พอไปทำ ทำหน่อยมันก็ดูมากแล้ว และอาจจะเฮงด้วยที่ทำแล้วสำเร็จ ทำเกือบทุกคดี มีอย่างเดียวที่ไม่ทำ คือวิสามัญฆาตกรรม ไม่ใช่งานของตรวจคนเข้าเมือง ผมไม่เอาเด็ดขาด”

อดีตมือปราบปรามอาชญากรข้ามชาติบอกว่า หัวใจของการสืบสวน ต้องรักงานด้านนี้ อดทน ละเอียด ขี้สงสัย หาประเด็นให้หมด การสงสัยต้องทำให้ข้อสงสัยตกไป อย่าคิดว่าไอ้นี่ ไอ้นั่นเป็นไปไม่ได้ ทุกอย่างต้องทำหมด ต้องให้ครบ แม้ว่าขอเสียของงานสืบสวนตำรวจตรวจคนเข้าเมืองคือไม่สามารถไปดูที่เกิดเหตุได้ทันท่วงที เพราะไม่ใช่หน่วยหลัก กว่าจะรู้ก็ตอนรายงานเหตุ หรือหนังสือพิมพ์ลงแล้ว แต่ก็พยายามทำ ทำเท่าที่จะทำได้ ไม่ใช่เฉพาะคดีปลอมแปลงเอกสาร ปลอมพาสปอร์ต แก๊งลูกหมู ลูกแพะ คดีฆ่าคนตายเราก็ทำ หากมีแนวทางการสืบสวน

“มีคดีฆ่าหญิงสาวอย่างโหดเหี้ยมทารุณ จับเหยื่อขันชะเนาะหมกห้องพักโรงแรมกลางเมืองเชียงใหม่ ผมอ่านหนังสือพิมพ์เจอในวันรุ่งขึ้น มีอะไรบางอย่างทำให้ผมคิดว่า น่าจะทำได้ เพราะคนตายเป็นผู้หญิงค้าประเวณีข้ามชาติ เกี่ยวพันคนมาเลเซีย ผมเริ่มจับประเด็นแล้วประสานร้อยเวรที่เชียงใหม่เกี่ยวกับหลักฐานในที่เกิดเหตุ พบมีกางเกงกับแว่นตาเป็นเบาะแสการสืบสวนหาตัวคนร้าย ผมจึงส่งลูกน้องเอากางเกงกับแว่นตาผู้ต้องสงสัยไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองสะเดา จังหวัดสงขลา ช่วยประสานกับทางมาเลเซีย โชคดีไปเจอข้อมูล พวกเราแกะรอยนานกว่า 2 เดือนจับคนร้ายชาวมาเลเซียได้ที่เชียงราย”

 ส่วนอีกคดีที่สร้างชื่อให้แก่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง พล.ต.ต.ขรรค์ชัยจำได้ไม่ลืมว่า เป็นคนร้ายข้ามชาติชาวบราซิลที่สนิทสนมกับประธานาธิบดีบราซิลโกงเงินหลายพันล้านเข้ามากบดานอยู่ในเมืองไทย คนร้ายรายนี้เป็นผู้มีอิทธิพล หนีมาทั่วโลก มีลูกสมุนและอาวุธทันสมัยที่พร้อมจะต่อสู้หากถูกเข้าจับกุม สถานทูตบราซิลได้ประสานข้อมูลกับตำรวจตรวจคนเข้าเมืองมาตลอด “ผมเริ่มเฝ้าเช็กข้อมูลเจาะกลุ่มผู้ต้องสงสัย พอรู้มีเงินเยอะก็น่าจะพักตามโรงแรมหรู สืบจนรู้ว่า มันพักห้องสูทอย่างดีที่โรงแรมเชอราตัน ยอมรับว่าเครียดมาก เพราะกลัวสูญเสีย ถ้าเกิดการปะทะกัน หากเป็นสืบสวนเหนือ จะไม่ค่อยน่าห่วง เนื่องจากมีประสบการณ์ ชำนาญมากกว่า ลูกน้องผมยังไม่เก่ง และไม่เคยทำเรื่องชาร์จจับกุมยิงต่อสู้ หลายคนมีอายุมาก ทำเท่าที่จะทำได้เท่านั้น ดีที่งานนั้นเราปลอมตัวเป็นพนักงานในโรงแรมก่อนเข้าล็อกจับได้โดยละม่อมทั้งหมด กลายเป็นข่าวดังทั่วโลก”

 “ช่วงนั้นผมแย่มาก เครียดเรื่องพ่อป่วยหนักจะเอาไปโรงพยาบาล บังเอิญเป็นวันตัดสินใจที่ต้องเข้าจับแล้ว พี่ชายโทรมาบอก พ่อรักผมมาก ต้องให้ไปช่วยพูดกับพ่อไปโรงพยาบาล ผมบอกปฏิเสธ ขอทำงานก่อน พี่ชายโกรธจะตัดพี่ตัดน้องกันเลย เขาว่า ทำไมเห็นงานสำคัญกว่าพ่อ ผมบอกไม่ใช่ แต่คิดว่า คนอื่นน่าจะทำให้พ่อไปโรงพย่าบาลได้ ไม่จำเป็นต้องผมคนเดียว ผมห่วงลูกน้องจะเป็นอะไรไปมากกว่า มันเป็นงานใหญ่ที่อันตราย ตัดสินใจให้พี่น้องโกรธสักพักคงจะดีกว่า แต่เมื่องานเสร็จแล้วก็รีบไปเยี่ยมพ่อทันที”

พล.ต.ต.ขรรค์ชัยยอมรับว่า ประทับใจลึก ๆ ที่มาปลุกงานสืบสวนตำรวจตรวจคนเข้าเมืองขึ้นมามีความสำคัญในหน่วย ได้ผู้บังคับบัญชาเห็นความสามารถและยังไว้วางใจให้ทำงานสืบสวนปราบปรามคนร้ายข้ามชาติตอนขึ้นเป็นรองผู้บังคับการ ไปปลุกตามด่านตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศให้มีความเป็นนักสืบบ้าง ไม่ใช่เน้นงานบริการอย่างเดียว ทำให้ปัจจุบันนี้งานสืบสวนสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองดีกว่าเก่ามาก แต่สิ่งที่สู้หน่วยสืบสวนของนครบาลไม่ได้ คือขาดความอดทน ความละเอียดในการเข้าไปเจาะเข้าไปทำ “นักสืบต้องอดทนสูง สมัยผมอยู่สืบสวนเหนือเฝ้าจุด ต้องเฝ้า 24 ชั่วโมง อยู่ในรถก็ต้องทน เหม็นก็ต้องทน  แต่ไม่เห็นด้วยในวิธีการสงสัยแล้วจับมาทุบ บางทีมันผิดตัว มันทรมานแล้วรับสารภาพเพราะเจ็บ ไม่ได้ทำจริง แม้จะไม่มีนักจิตวิทยาที่เก่งที่สุดในโลกคนไหนจะซักถามคนร้ายแล้วให้มันบอกว่า พรรคพวกมันอยู่ที่ไหน ทำมากี่ครั้ง ของกลางอยู่ไหนก็ตามเถอะ”

อดีตนายตำรวจลูกหม้อตำรวจตรวจคนเข้าเมืองฝากทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า อยากให้ตำรวจมองเรื่องการป้องกันไว้ก่อนงานสืบสวนจับกุม ถ้าไปให้ความสำคัญกับการจับกุม ปัญหามันก็เกิดอยู่ดี เกิดแล้วจับ คนเสียหายแล้ว คนตายไปแล้วมันไม่คุ้ม ควรทุ่มเทให้กับการป้องกันดีกว่า ที่ผ่านมาอาจมองว่า คนจับกุมเก่งจะเจริญก้าวหน้า ถามว่า ใช่ไหม ใช่ แต่ถ้าป้องกันเก่ง เช่นโรงพักนี้ไม่มีคดีอาชญากรรมเกิด ต้องสนับสนุนไปพร้อมกันด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้เกิดความสูญเสียแล้วเอาคืนกลับมาไม่ได้

 “โดยเฉพาะงานตรวจคนเข้าเมือง ที่เป็นเส้นคู่ขนานระหว่างความมั่นคงกับงานบริการ ยกตัวอย่าง สนามบินสุวรรณภูมิ มันจะขัดแย้งกันอยู่ในตัวเลย ถ้าเน้นความมั่นคงมาก บริการจะช้า มุมมองของผม อยากให้คู่กันไป แต่เน้นป้องกันให้มากหน่อย เช่นประเทศอื่นทั่วโลก เน้นความมั่นคงมาก จริงอยู่ที่จะมีผลต่อการท่องเที่ยว แต่ไม่มาก ขอให้เจ้าหน้าที่ทำงานเข้าระบบรวดเร็ว”

“ประสบการณ์ของผมที่ผ่านมา คนต่างชาติที่ก่อคดีเข้ามาเมืองไทยง่าย เพราะไม่ต้องขอวีซ่า ถ้าขอ โอกาสจะเข้ามาลำบาก แต่นี่เข้ามาง่ายเกินไป ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย เยอรมัน เพราะนโยบายต้อนรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศเราเองที่มองว่าเพิ่มภาระให้นักท่องเที่ยว สู้อยู่ ๆ เข้ามาเลยสะดวกกว่า ผมกลับคิดว่า ฝรั่งเขามีแผน พักร้อนเมื่อไหร่ จะมาเมื่อไหร่ รู้ล่วงหน้า ไม่มีตัดสินใจวันนี้แล้วพรุ่งนี้มาเลย น้อยมาก เขาทำเป็นระบบ ถามว่า ถ้าขอวีซ่าจะเสียเวลาอะไรกันนักหนา แล้วจะตรวจสอบง่ายด้วย เป็นการป้องกันไม่ให้คนไม่ดีเข้ามาในเมืองไทย แต่เมื่อเข้ามาแล้วจะทำอย่างไรให้มันออกจากประเทศเรามากที่สุด”

ขรรค์ชัย อนันตสมบูรณ์ !!! 

 

RELATED ARTICLES