“ตรงไหนมีโจรมาก ทำอย่างไรต้องตัดตอนมัน”

ชีวิตของตำรวจนักสืบยุคปัจจุบันมีน้อยรายที่จะก้าวสู่จุดสูงสุดในวงการสีกากี

เส้นทางของพวกเขาไม่เคยโรยด้วยกลีบกุหลาบให้เจริญก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ ทั้งที่เกือบตลอดชีวิตราชการขยันสร้างผลงานปรากฏแก่องค์กรตำรวจมามากมาย แต่ผลสุดท้ายกลับกลายเป็นความผิดหวังที่แสนเจ็บปวดจนถึงวันถอดเครื่องแบบ

มันคือความทรงจำที่เลวร้ายสำหรับนักสืบมากประสบการณ์อย่าง พ.ต.อ.วิวัฒน์ วรรธนะวิบูลย์ ตำนาน “ผู้กำกับสืบเหนือ” คนสุดท้าย และคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้รับโอกาสติดยศ “นายพล”

“ผมไม่เคยได้ไปวิ่งเต้นเอาตำแหน่ง ไม่เคยเลียแข้งเลียขาใคร ชีวิตทำแต่งาน มันก็ลงเอยแบบนี้ ถูกดองเค็มจนเน่าเหม็นไปเลย” พ.ต.อ.วิวัฒน์นักสืบที่เพิ่งเกษียณอายุราชการมาหมาด ๆ เปรยประชดชีวิตขมขื่น

ถูกผู้มีอำนาจดองในตำแหน่งรองผู้บังคับการนานนับ 10 ปีถึงขั้นติดอาวุโสลำดับที่ 1 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ก็ไม่ได้รับการพิจารณาแต่งตั้งให้เป็นผู้บังคับการจวบจนวันเกษียณอายุแบบไม่มีความผิด

พ.ต.อ.วิวัฒน์เป็นคนอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา เรียนโรงเรียนสะเดา “ขรรค์ชัย กัมพรานนท์อนุสรณ์” รุ่น4 ก่อนเข้ากรุงไปต่อโรงเรียนอำนวยศิลป์พระนครจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ต้องกลับบ้านเพราะไม่มีเงินเรียน

ด้วยความบังเอิญที่ดันไปเจอ พ.ต.ท.ลัดดา ปัญจพรรค์ สมัยนั้นเป็นรองผู้กำกับการ 7 สันติบาลชักชวนให้เข้ามาสมัครตำรวจสันติบาลเพื่อหาโอกาสเรียนต่อ เขาถึงดั้นด้นเข้ากรุงอีกครั้ง มี พล.ต.ท.เกษียณ ศรุตานนท์ รองอธิบดีกรมตำรวจพิจารณาเปิดสอบคัดเลือกจนได้เป็นตำรวจสังกัดลูกแถว หน่วยควบคุมญวนอพยพ กองบังคับการตำรวจสันติบาล เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2510

ถัดจากนั้นเพียง 3วันโดนส่งไปอบรมหลักสูตรวิชาสืบสวน มี เจ้าหน้าที่ของซีไอเอ ของสหรัฐอเมริกามาเปิดการอบรมสอนวิชาการสะกดรอย การเฝ้าจุด การติดตาม การอำพรางปลอมตัว การเข้าข่าว และการหาข่าวต่าง ๆ กระทั่งกลายเป็นเป็นวิชาชีพติดตัวมาจนเกษียณอายุราชการ

เขาถือว่า นี่แหละพื้นฐานจริง ๆ ของงานสืบสวน

ใช้เวลา 1 เดือนในการอบรม พอจบหลักสูตรก็ถูกส่งไปอยู่ภาคอีสานพื้นที่สีแดงเต็มไปด้วยคอมมิวนิสต์ และในระหว่างนั้น เพื่อนคนหนึ่งโทรศัพท์มาบอกว่า มหาวิทยาลัยเปิดเอ็นทรานซ์และซื้อใบสมัครให้แล้ว เขาเลยเดินทางเข้ามาสมัคร เลือกคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ อันดับแรก มีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคค่ำเป็นอันดับ 2 ปรากฏว่าสอบติดธรรมศาสตร์จึงตั้งหน้าตั้งตาเรียนควบคู่กับงานตำรวจทำหน้าที่เก็บข้อมูลหาข่าว

มีส่วนให้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และหนีออกมาจากรั้วโดมเป็นคนท้าย ๆ ถึงขนาดมีผู้ใหญ่ยื่นเงินให้ 2แสนบาทเพื่อช่วยเหลือเนื่องจากเป็นห่วงว่าจะถูกทำร้าย เพราะกลุ่มนักศึกษารู้แล้วว่าเขาเป็นตำรวจ แต่เขาเลือกที่จะเอาแค่ 200 บาทไว้ใช้จ่ายประทังชีวิต

พ้นเหตุการณ์ 14 ตุลา พ.ต.อ.วิวัฒน์ยังทำหน้าที่สันติบาลได้อย่างดีเยี่ยม แต่ก็ยังไม่ได้รับการพิจารณาปรับวุฒิเพื่อเลื่อนเป็นนายตำรวจสัญญาบัตร กำลังคิดจะลาออกไปทำงานธนาคาร พล.ต.อ.มนต์ชัย พันธุ์คงชื่น อธิบดีกรมตำรวจมีคำสั่งปรับยศ ร.ต.ต.ให้พอดี มีผลวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ในตำแหน่งรองสารวัตรแผนก 5 กองกำกับการ 2 กองต่างด้าวภาษีอากรขึ้นตรงกับกรมตำรวจ แล้วย้ายมาแผนก 6 อยู่กับ พล.ต.ต.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น ลูกชายอธิบดีมนต์ชัย ช่วยกันทำหน้าที่สืบสวนจับกุมสินค้าหนีภาษีทั่วกรุงนานเกือบ 2 ปี

มีคำสั่งย้ายมาเป็นรองสารวัตรกองกำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาลพระนครเหนือ พร้อมกับพล.ต.ต.กฤษฎา เริ่มจับงานแรกก็อยู่ทีมเดียวกับ พล.ต.ท.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา พล.ต.ต.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น ที่ขณะนั้นทั้งคู่ยังเป็นรองสารวัตรหนุ่มไฟแรง ไปทำวิสามัญฆาตกรรมแก๊งคนร้ายชิงทรัพย์ผู้เบิกเงินธนาคารในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง

ต่อมา ร.ต.อ.ผจญยุทธ สิงหะ เป็นรองสารวัตรสืบสวนเหนือดึงไปทำงานสืบสวนตามล่า “ตี๋ใหญ่” ร่วมกับ “บรรดล ตัณฑไพบูลย์” กระทั่งจับตายจอมโจรเลื่องชื่อได้ในที่สุด

เป็นนายตำรวจคนแรกที่ถูกทหารชวนไปสืบสวนคลี่คลายคดี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ถูกลอบยิงที่จังหวัดลพบุรี เลยชวน ร.ต.ท.อิทธิพล กิจสุวรรณ คู่บัดดี้เข้าไปร่วมงานด้วย วิ่งรอกระหว่างกรุงเทพฯ-ลพบุรีนานร่วมปีจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นสารวัตรแผนก 4 กองสืบสวนเหนือ

ปี 2533 เลื่อนเป็นรองผู้กำกับสืบสวนเหนือนาน 5 ปี ขึ้นนั่ง “ผู้กำกับสืบเหนือ” ต่อจาก “กฤษฎา พันธุ์คงชื่น” จนได้ชื่อเป็นผู้กำกับคนสุดท้ายของหน่วย หลังกรมตำรวจผ่ากองบังคับการใหม่เป็น 1-9 จำเป็นต้องปรับตำแหน่งเป็นผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาล 1 และขยับขึ้นรองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 4 รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 แล้วโดนเด้งเป็น รองผู้บังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจนครบาล กลับมาเป็นรองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 ก่อนไปอยู่นครบาล 9 แต่ยังไม่วายถูกย้ายเป็นรองผู้บังคับการหัวหน้าศูนย์สืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เพียง 9 วันก็เจอคำสั่งฟ้าผ่าให้ไปช่วยราชการหัวหน้าสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 และช่วยอยู่ในตำแหน่งรองผู้บังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1

“ตำแหน่งสุดท้าย ประสบความล้มเหลว เขาย้ายผมออกนอกหน่วย ไม่รู้ไม่พอใจอะไร แต่ผมก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานไม่ปริปากบ่น ไม่คิดลาออก ไปอยู่สืบสวนภาค 1 ยังจับคดีให้ 2 คดี อยู่แค่ 9 วันเท่านั้นนะ แต่แล้วก็โดนย้ายอีก ผู้ใหญ่พูดแบบหวังดีอยากให้พักผ่อนก่อนเกษียณ ไอ้ห่า พูดมาได้ยังไง ผมยังทำงานได้ และเป็นงานสืบสวนที่ผมรักแม้ว่าจะไม่ถนัดพื้นที่ก็ตาม”  พ.ต.อ.วิวัฒน์เล่าแบบน้อยใจ

 

“ทำไมไม่ได้เป็นนายพล ผมไม่รู้ ผมไม่เคยวิ่งเต้น”

มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงสาเหตุไม่เจริญเติบโตในตำแหน่งของเขาเกิดจากเคยจับสินค้าหนีภาษีของผู้มีอำนาจในประเทศสมัยหนึ่งกลายเป็นมูลเหตุให้ถูกดอง ประเด็นคาใจตรงนี้ พ.ต.อ.วิวัฒน์ยอมเปิดปากว่า เมื่อปี 2537 เจ้าหน้าที่ศุลกากรประสานขอความร่วมมือจะไปตรวจค้นบริษัทห้างร้านที่หลบหนีภาษีศุลกากร ตอนนั้นรองผู้กำกับสามารถเซ็นหมายค้นได้จึงเซ็นให้ไป แต่โดยมารยาทก็ไม่ได้ถามไปค้นที่ไหนอย่างไร เมื่อเอาหมายไปค้นกลายเป็นบริษัทของคน ๆ หนึ่งที่ต่อมาเป็นนักการเมืองใหญ่ ทำธุรกิจเคเบิลทีวี

“มีพรรคพวกติดต่อมาว่าเมื่อเช้าเซ็นหมายค้นไปใช่มั้ย ผมบอกใช่ เขาบอกให้ไปดูหน่อย ก็เลยไปดู มีคนในบริษัทบอกว่าไม่ต้องมายุ่ง เคลียร์กันเรียบร้อยแล้ว พอถามพรรคพวก เขาก็บอกไม่เป็นไรให้กลับมาก่อน พอกลับมาก็ไม่มีอะไร แต่อาจเป็นสาเหตุที่ไม่เจริญก้าวหน้าในชีวิตราชการในบั้นปลาย เพราะเจ้าของบริษัทคนนั้นเป็นใหญ่เป็นโต คงเข้าใจว่า ผมเป็นคนเข้าไปค้น ผมไม่มีโอกาสได้ไปแก้ตัว ขอพบก็ไม่ให้พบ ผมก็ไม่ใช่นักวิ่งเต้น มีคนจะช่วยกันเยอะก็ช่วยไม่ได้” อดีตนักสืบเมืองกรุงระบายความในใจที่อึดอัดมานาน

แต่เมื่อหมดยุคของผู้มีอำนาจคนนั้นก็ยังไม่ได้ดิบได้ดี พ.ต.อ.วิวัฒน์บอกว่า ไม่รู้สาเหตุเหมือนกันว่า ทำไมไม่ได้ มีคนถามว่าเกี่ยวข้องกับสมัยหนึ่งเคยเป็นตรวจสอบบัญชีโต๊ดเถื่อนสนามม้า หรือตรวจสอบนายพลตำรวจปล่อยเงินกู้ในบ่อนหรือไม่ “ผมยืนยันได้เลยว่า ไม่เคยตรวจสอบบัญชีใคร ไม่เคยทำ ชีวิตเน้นแต่เรื่องโจรอาชญากรรม กับการเมืองคือเรื่องม็อบ เรื่องอื่นไม่เคยไปยุ่ง สาบานได้  รบกับโจร ดูแลม็อบ คิดอย่างเดียวทำยังไงให้มันลงตัว ให้ทุกคนทั้งม็อบและผู้บังคับบัญชาแฮปปี้กันได้ ทำมาตั้งแต่สมัย ทนง โพธิ์อ่าน กระทั่งทนงหายตัวไป ทั้งที่ผมก็เตือนแล้วว่าเชือกมันตึง ตึงมากระวังมันจะขาด”

ตำนานผู้กำกับการสืบสวนเหนือบอกว่า งานอาชญากรรมที่ทำก็มีมากมายหลายร้อยคดีถึงไม่มีเวลาไปวิ่งเต้นเอาตำแหน่งหรือดูแลผู้มีอำนาจ แต่ก็รู้สึกประทับใจในงานที่ทำ ทำสำเร็จได้ด้วยตัวของเราเอง ยกตัวอย่างสมัยเป็นสารวัตรเคยจับกุมแก๊งคนร้ายเข้าไปลักทรัพย์ธนาคารทหารไทย สาขาราชดำเนิน กวาดเงินไป 9ล้านบาทเศษ “ ผมรู้ตัวคนแรก สืบสวนเอง อะไรเองหมด รู้จากการเข้าไปซักถามพยานทั้งหมดในที่เกิดเหตุ มีนักการของธนาคาร นึกขึ้นได้ว่า คืนวันศุกร์ก่อนปิดธนาคาร มีนายพรชัย อดีต รปภ.ของธนาคารเข้ามาขอเข้าห้องน้ำแล้วยังไม่ได้ออกไป ตอนแรกพยานปากนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำ ไล่ไปไล่มาถึงไปตามตัวนายพรชัย เกมเปิดจากตรงนั้น ตามเงินของกลางคืนเกือบครบ”

คดีประทับใจเยอะมาก ตั้งแต่คดียิงหญิงท้องแก่ ท้องที่สถานีตำรวจนครบาลเตาปูน หมอผ่าท้องออกมาเด็กยังมีลมหายใจอยู่ได้ 2 ชั่วโมงก็ตาย เป็นคดีที่น่าเศร้าสะเทือนใจมาก อธิบดีแสวง ธีระสวัสดิ์ ยังทนไม่ได้บอกกับทีมงานสืบสวนว่า “ผมไม่ต้องการแถลงข่าว ทำให้สำเร็จ”  นอกจากนี้ยังมี คดี “หม่อมลูกปลา” ชลาศัย ยุคล ที่ตกเป็นผู้ต้องหาวางยาฆ่าหม่อมเจ้าฐิติพันธ์ ยุคล หรือท่านชายกบ

พ.ต.อ.วิวัฒน์บอกว่า คดีฆาตกรรมท่านชายกบสำเร็จได้เพราะพัวพันมาจากเรื่องที่มีโอกาสไปร่วมสืบสวนคดีปลอมธนบัตรดอลลาร์สหรัฐอเมริกาอย่างไม่มีที่ติของเกาหลีเหนือจนเป็นเหตุให้อเมริกาต้องเปลี่ยนธนบัตรใบละ 100 เหรียญเป็นแบบใหม่ทั้งหมด กลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก แต่ในเมืองไทยกลับไม่มีใครสนใจ ทั้งที่เรื่องทั้งหมดเริ่มในไทย หลังจากมีคนนำดอลลาร์ปลอมไปใช้แล้วถูกจับได้ที่พัทยา หน่วยซีเครต เซอร์วิส ของสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยเข้าขยายผลถึงกรุงเทพฯขอความร่วมมือตำรวจหลายหน่วยแต่กลับไม่เห็นความสำคัญ

“เขาเลยเข้ามาหาผม ดึงคณิศร์ชัย มหินทรเทพเข้าไปช่วยทำ ขยายผลไปคุนหมิง ประเทศจีนแล้วกลับมาได้ตัวผู้ต้องหาที่เขมร กว่าจะได้เขมรเกือบฆ่ากันตาย สถานทูตอเมริกาต้องบีบฮุนเซนส่งตัวมา เขาปรึกษาผมว่าเอาตัวเข้าเมืองไทยแล้วยูตั้งข้อหาได้มั้ย ผมบอกได้ สบายมาก พอลงเครื่องสนามบินดอนเมือง ผมก็ล็อกเอาขึ้นรถตู้มาที่กองสืบแล้วแจ้งข้อหาซ่องโจรเพื่อปลอมแปลงเอกสารธนบัตรต่างประเทศ มิสเตอร์แม็ก ยินเยา หัวหน้าทีมยังบอกเลยว่าสุดยอด”

ผู้ต้องหารายนี้คือนายโคดามา ชาวญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกาส่งเจ้าหน้าที่นำเครื่องจับเท็จมาสอบสวนอยู่หลายชั่วโมงถึงยอมรับสารภาพว่า เป็นคนเอาดอลลาร์ปลอมจากเกาหลีเหนือมาเผยแพร่ทั่วเอเชีย ประวัติของนายโคดามาเคยถูกตั้งข้อหาวางระเบิดเครื่องบินสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ทำผู้โดยสารตายทั้งลำ 300 กว่าคน ญี่ปุ่นสืบสวนจนรู้ตัว มันเลยหนีเข้าเกาหลีเหนือ ญี่ปุ่นตามไปไม่ได้ก็พยายามกดดัน จังหวะพอดีกับเกาหลีเหนือไม่รู้จะแก้แค้นอเมริกาได้อย่างไรจึงผลิตธนบัตรปลอมทำลายเศรษฐกิจสหรัฐให้นายโคดามาออกมากระจายไปทั่วเอเชีย

“เมื่อจบคดี มีนัดกินข้าวกับสถานทูต มิสเตอร์แม็กมาด้วย ผมไปถึงช้าเลยขอโทษบอกที่ช้าเพราะมีการรื้อฟื้นคดีท่านกบใหม่ สอบพยานใหม่หมด มิสเตอร์แม็กถามยังไม่จบอีกหรือ แล้วรู้ตัวคนร้ายหรือเปล่า ผมบอกสงสัยหม่อมลูกปลาเพราะอยู่คนเดียวในที่เกิดเหตุ แต่ไม่รู้ทำไง สอบก็ไม่รับสารภาพ มันบอกไอ เฮลพ์ ยู จะเอาเครื่องจับเท็จมาให้ ผมปฏิเสธเพราะต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะ แต่เขาบอกจะลองส่งเอกสารไปที่กรุงวอชิงตันดู ผมก็เฉย” พ.ต.อ.วิวัฒน์ลำดับรายละเอียด

“วันรุ่งขึ้นผมเข้าไปเล่าให้ พล.ต.ท.โสภณ วาราชนนท์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลฟัง ท่านบอกว่าถ้าได้ก็ดี เอาเลย เนื่องจากตอนแรกจะเอาเครื่องจับเท็จของกองพิสูจน์หลักฐานมาใช้ แต่ไม่กล้า กลัวผิดพลาด เพราะคดีนี้ต้องใช้ความละเอียดรอบคอบ ระหว่างนั่งคุยกันอยู่มิสเตอร์แม็กก็โทรศัพท์มาบอกว่าที่วอชิงตันอนุมัติ พวกเราก็เลยเอา เรียกหม่อมลูกปลามาสอบที่กองสืบสวนสวนเหนือ ซักถามกัน 1 วันเต็ม ๆ ถึงยอมรับสารภาพหมด เอาไปทำแผนที่วังอัศวิน ปิดคดีได้สำเร็จ โดยไม่มีการเมือง หรืออิทธิพลอะไรเข้ามาเกี่ยวข้อง”

ส่วนคดีที่อีกหลายคนแคลบแคลงคือการตายของนายบุญเลี้ยง อุดลยฤทธิกุล เจ้าคาเฟ่ชื่อดัง อดีตนายตำรวจที่อยู่เบื้องหลังการจับกุมคนร้ายยืนยันเช่นกันว่า ไม่มีอะไรแอบแฝงหรือเบี่ยงเบนอะไรได้  การทำงานคดีนั้น สารวัตรสอบสวนโรงพักลาดพร้าว ประสานมาว่า มีแหล่งข่าวมาแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับคดียิงนายบุญเลี้ยงที่กำลังเป็นข่าวดังมาก เขาบอกต้องแจ้ง พ.ต.อ.วิวัฒน์ เพราะตอนนั้นอยู่กองบังคับการตำรวจนครบาล 4 ออกตรวจพื้นที่ทุกวันจนมีชาวบ้านรู้จักเยอะ

“ผมก็ไปนั่งคุยกับเขา เรียก พล.ต.ต.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น สมัยนั้นเป็นผู้การมาร่วมหารือด้วย เมื่อฟังแล้วมีน้ำหนักเชื่อว่าเบาะแสที่พลเมืองดีให้มานั้นเป็นคนร้ายแน่จึงเรียก พ.ต.อ.ฉัตรกนก เขียวแส่งส่อง กับพ.ต.ต.วสันต์ เกศะรักษ์ ที่อยู่สืบสวนนครบาล 4 มาเตรียมกำลังวางแผนจับกุม ก่อนให้ พ.ต.ต.วสันต์พาคนชี้เบาะแสไปส่งที่แฟลตคลองจั่น ระหว่างทางเขาเดินสวนกับคนร้ายพอดี  สารวัตรวสันต์ที่อยู่คนเดียวจึงตัดสินใจชักปืนจี้แล้วกระโดดล็อกทั้งที่ตัวเล็กกว่า ใช้เข็มขัดมัดพาขึ้นรถมาที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 4 สอบสวนจนรับสารภาพ ตามไปงมเจอปืน ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง แค่ประสงค์ต่อทรัพย์ธรรมดา มันเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้”

พ.ต.อ.วิวัฒน์ยังฝากทิ้งท้ายไปถึงนักสืบรุ่นใหม่ ๆ ด้วยว่า อยากฝากประชาชนไว้กับพวกเขา เพราะนักสืบเป็นตัวหลักของงานอาชญากรรม แม้ปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้น แต่พื้นฐานของงานสืบสวนตั้งแต่การติดตาม เฝ้าจุด เก็บข้อมูล หาแหล่งข่าว หาสายยังต้องจำเป็นอยู่ จะทิ้งไม่ได้ ละเลยไม่ได้ มองงานพื้นฐานบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแก่ประชาชนเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นคดีฉกกระชาก ลากชิง วิ่งปล้น ฆ่าข่มขืน ทำตรงนี้ ถ้าประชาชนเป็นสุขกล้าไปโน่นไปนี่ตอนกลางคืน คนงานสามารถทำงานได้ 2 กะ โดยไม่ต้องกลัวถูกวิ่งราวกระชากสร้อย ถูกจี้ เขาก็มีความสุขกายสบายใจ ทำให้มีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้นเป็นผลรวมต่อเศรษฐกิจที่ดีขึ้น

“ตรงไหนมีโจรมาก ทำอย่างไรต้องตัดตอนมัน ตัวไหนยังไม่ได้ถ่ายรูปทำประวัติ ยังเจาะเข้าไปไม่ถึง เป็นขาใหญ่ ขาจรมาแบบโฉบเฉี่ยว อยู่บางบอนสามารถมาก่อคดีถึงมีนบุรีต้องตรวจสอบทำประวัติให้ได้ ทั้งรถและคน วันนี้จับไม่ได้ ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ไม่ได้ไม่เป็นไร สักวันต้องจับได้ ถ้าเราสนใจและมุ่งมั่นจริง ๆ”

แม้สภาพความจริงในวงการตำรวจบรรดานักสืบส่วนใหญ่มักไม่ได้รับความคุ้มครองจากผู้บังคับบัญชาระดับสูง ทำให้โอกาสโตไปอยู่แถวหน้าจริง ๆ น้อยมาก

เหมือนเช่นตัวเขา

วิวัฒน์ วรรธนะวิบูลย์ !!!

 

 

RELATED ARTICLES