“เลือดทุกหยดผมเป็นตำรวจนักสืบ”

ในแวดวงนายตำรวจมือปราบ “เหยี่ยวดำ” พ.ต.อ.บรรดล ตัณฑไพบูลย์ ต้องมีชื่อติดทำเนียบประดับวงการสีกากีอย่างแน่นอน

เขาถือเป็นนักสืบพันธุ์แท้ที่ทำงานมาตลอดชีวิตราชการ จับปืนเสี่ยงตายไล่เด็ดหัวโจรผู้ร้ายมานับไม่ถ้วน แต่ไม่วายโดนมรสุมผู้บังคับบัญชากลั่นแกล้งดองเค็มก้าวไปไม่ถึงดวงดาวต้องเกษียณอายุราชการแค่ตำแหน่งรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระบุรี

พ.ต.อ.บรรดล เป็นคนจังหวัดลำปาง ไปโตที่เชียงใหม่ เรียนหนังสือโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย ก่อนเข้ามาสมัครเป็นตำรวจสังกัดกองสืบสวนภูธรภาค 1 ยุค พล.ต.ท.จำรัส มังคลารัตน์ คุมหน่วยตำรวจภูธรทั่วประเทศ เพราะชอบชีวิตโลดโผนผจญภัยมาตั้งแต่เด็ก เขาบอกว่า มีความรู้สึกลึก ๆ ว่าอาชีพตำรวจตรงกับนิสัยเขา ที่ไม่ค่อยกลัวคน ไม่ชอบให้ใครมารังแก ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ยิ่งโจรผู้ร้าย คำว่ากลัวโจรไม่อยู่ในหัว เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย เขาไม่กลัว

สมัยเป็นตำรวจหนุ่ม พ.ต.อ.บรรดล พยายามเรียนรู้สะสมประสบการณ์งานสืบสวนจากรุ่นพี่ไว้มากมาย กระทั่งไปเข้าตา พ.ต.ต.ศิริ ทองมี สารวัตรกองสืบสวนภูธรภาค 1 แนะนำให้ไปร่วมวางแผนจับนายกรประเสริฐ ช่างเขียน หัวหน้าโจรชื่อดังฉายา “ตี่ใหญ่” ที่สร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านมาหลายท้องที่ ต้องการให้เขาปลอมตัวเข้าไปอยู่ในรังโจร  พ.ต.ต.ศิริให้เหตุผลว่า  “อั๊วต้องการให้ลื้อไปสืบสวนคดีนี้ ต้องการได้รับข้อมูลจากลื้อโดยตรง ไม่ใช่จากสาย” พ.ต.อ.บรรดลจำคำพูดวันนั้นไม่ลืม

เขายอมรับว่า ไม่รู้จักตี๋ใหญ่ รู้แค่คนดำเนินสะดวกเหมารถบัสมาร้องทุกข์ พล.ต.ท.จรัส เพ็ญเจริญ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 บอกโจรผู้ร้ายเต็มเมืองไปหมดแล้ว ขอให้ส่งกำลังตำรวจไปปราบด้วย คลองดำเนินสะดวก ดำเนินไม่สะดวกแล้ว

“สารวัตรศิริถามย้ำว่า เอามั้ยบรรดล มันเสี่ยงนะมึง ผมกลับไปคิดอยู่ 1 คืน เอาแฟ้มขอมูลของแก๊งตี๋ใหญ่มานอนอ่าน รุ่งขึ้นตัดสินใจตอบตกลงทันที เข้าไปสืบสวนหาเบาะแสนานกว่า 5 เดือน กินนอนอยู่กับสาย ขาดออกจากงานในหน้าที่เลย ลงประจำวันไว้ มี พล.ต.ต.เริงณรงค์ ทวีโภค รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 บอกด้วยว่า ถ้าบรรดลเป็นอะไรตายไปให้ถือว่าตายในขณะปฏิบัติหน้าที่”

การสืบสวนหาข่าวความเคลื่อนไหวของตี๋ใหญ่กับลูกสมุนผ่านไปด้วยดี พ.ต.อ.บรรดล สามารถเจาะข้อมูลส่งข่าวไปยังสารวัตรศิริ และทีมงานวางแผนจับกุมลูกน้องของตี๋ใหญ่ได้หลายคน ทำให้มันเริ่มระแวงว่าต้องมีใครสักคนในกลุ่มทำตัวเป็นหนอนบ่อนไส้ หลังจากลูกน้องคนสนิทของมันถูกตำรวจสืบสวนเหนือบุกล้อมจับถึงแหล่งกบดานก่อนวิสามัญฆาตกรรมวันเดียว 4 ศพในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลดุสิต และพญาไท

ถัดจากวันนั้น พ.ต.อ.บรรดลโดนคำสั่งให้ถอนตัวออกมาเพื่อไม่ให้เสี่ยงอันตราย แต่ยังคงทำงานสืบสวนไล่ล่าตี๋ใหญ่กับสารวัตรศิริ และทีมของสืบสวนเหนือที่มี พ.ต.อ.เจริญ โชติดำรงค์ เป็นผู้กำกับ รวมถึง พ.ต.ท.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ สารวัตรใหญ่สถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฎร์ ตี๋ใหญ่ยังสามารถแหกวงล้อมยิงตำรวจสายตรวจ 191 เสียชีวิตเมื่อปี 2522 ในท้องที่เมืองนนทบุรี

ปีต่อมา พ.ต.อ.บรรดล เข้าอบรมนายตำรวจลงทำงานเป็นรองสารวัตรสืบสวนโรงพักห้วยขวาง  ตามคำชวนของ พ.ต.ท.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ ที่ย้ายเป็นรองผู้กำกับการนครบาล 3 คุมพื้นที่รับผิดชอบอยู่ ทั้งที่ตอนแรก พ.ต.อ.บรรดล เตรียมย้ายไปทำงานร่วมกับ พ.ต.อ.ถวิล เปล่งพานิช พ่อของนก-ฉัตรชัย เปล่งพานิช พระเอกหนุ่มคนดังที่เมืองเพชรบุรี เนื่องจากเห็นโจรผู้ร้ายเต็มไปหมด แต่ พ.ต.อ.ถวิล กลับมาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตก่อน จากนั้นไม่นานตี๋ใหญ่ก็ถูกจับตายเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2524 ปิดบัญชีโจรชื่อก้องได้สำเร็จ

นายตำรวจหนุ่มเมืองลำปางเวลานั้นมีความใฝ่ฝันอยากเป็นตำรวจสืบสวนเหนือมาก ตั้งเป้าไว้กับตัวเองว่า ชาตินี้ทั้งชาติต้องเป็นตำรวจสืบสวนเหนือให้ได้ แล้วฝันของเขาก็กลายเป็นจริง เมื่อ พ.ต.อ.เจริญ โชติดำรงค์ ดึงเขาไปเป็นรองสารวัตรกองสืบสวนเหนือ ใช้ชีวิตนักสืบอยู่ที่นั่นนาน 6 ปี ได้รับโล่เกียรติยศสืบสวนดีเด่นครั้งแรกในชีวิตจาก พล.ต.ท.มนัส ครุฑไชยยันต์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล แต่ก็เกือบสังเวยชีพมา 1 ครั้ง หลังไปล้อมจับมือปืนรับจ้างกับ พล.ต.ท.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ที่เวลานั้นเป็นสารวัตรสืบสวนเหนือ  ปรากฏว่า พ.ต.อ.บรรดล ถูกคนร้ายยิงเข้าไหล่กระสุนเฉี่ยวไขสันหลังไปนิดเดียว หวิดพิการไปตลอดชีวิต ขณะที่ พล.ต.ต.สฤษฎ์ชัย เอนกเวียง เพื่อนคู่หูถูกยิงเข้าหน้าท้องแตกบาดเจ็บสาหัส มีลูกน้องชั้นประทวนตาย 1 คน ส่วนคนร้ายถูกยิงตายด้วย

พอ “สมเกียรติ พ่วงทรัพย์” ย้ายไปขึ้นเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธร 7 จังหวัดลำปาง เลยดึงเขาไปเป็นมือทำงานนั่งตำแหน่งสารวัตรสืบสวนเมืองเชียงใหม่กลับถิ่นเกิด เป็นจังหวะที่ พล.ต.ต.สมพงษ์ คงเพชรศักดิ์ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งสารวัตรใหญ่เมืองเชียงใหม่ก่อตั้งหน่วยสืบสวนเหยี่ยวดำขึ้นมาจึงตั้งให้เขาเป็นหัวหน้าชุดเฉพาะกิจเหยี่ยวดำ กลายเป็นที่มาของฉายา “มือปราบเหยี่ยวดำ” ติดตัวเขาถึงปัจจุบันนี้

“ผมเป็นหัวหน้าชุด ลุยไล่ล่าโจรผู้ร้ายทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแก๊งซามูไรที่ออกอาละวาดสร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้าน ถือดาบเป็นอาวุธ ไล่ฟันคนอย่างบ้าคลั่ง หรือคดีอาชญากรรมอื่นๆ แรงมา ผมก็แรงไป ทุ่มเททำงานให้แก่บ้านเกิดเมืองนอนที่เชียงใหม่ ก่อนถูกคำสั่งย้ายเป็นสารวัตรปราบปรามเมืองอุทัยธานี เพราะไปจับบ่อนหัวคะแนนนักการเมือง ท่ามกลางเสียงคัดค้านของชาวบ้าน สื่อมวลชน และนักการเมืองท้องถิ่นในเชียงใหม่ เขารู้ว่าผมเป็นคนทำงาน ตอนนั้นก็อยากใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ไม่ได้อยากไปไหน เหมือนบ้านเกิด อยากอยู่จนเกษียณอายุราชการยิ่งดี มีความสุข แต่ทนแรงเสียดทานไม่ไหว”

“วันที่จะเดินทาง ผมไปอำลาหน่วยเหยี่ยวดำของผม ประกาศต่อหน้าหน่วยเลยว่า กูยังเป็นตำรวจอีก 20 ปี สักวันหนึ่งกูจะกลับมา แต่เชื่อมั้ยว่า กาลเวลาผ่านไป ผมไม่เคยได้กลับไปเลย ทั้งภาค 5 หรือ ภาค 3 ในสมัยอดีต ทั้งที่อยากให้ไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิด กลับต้องมาระเหเร่ร่อนไปที่อื่นจากอุทัยธานีย้ายเข้ากรุงเทพฯ เป็นสารวัตรสืบสวนโรงพักดุสิต ช่วงพฤษภาทมิฬก็ไม่ได้ทำงานสืบสวน ต้องเฝ้าม็อบ จนท่านวรรณรัตน์ คชรักษ์ เป็นผู้การธนเลยเอาผมไปเป็นสารวัตรแผนก 2 กองสืบสวนธนบุรี สร้างผลงานจับมือปืน แก๊งลักทรัพย์ คดีดังสำคัญมากมาย” พ.ต.อ.บรรดลลำดับเรื่องราว

ต่อมา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส เวลานั้นเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจนครบาลได้รับคำสั่งให้ไปช่วยราชการกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 จึงดึงเขาไปเป็นรองผู้กำกับสืบสวนภูธรภาค 2 ช่วยปราบปรามผู้มีอิทธิพลของเจ้าพ่อภาคตะวันออก และยังจับกุมพระเถระผู้ใหญ่ทรงอิทธิพลของเมืองชลบุรีตามหมายจับโรงพักชนะสงครามจนเป็นที่ฮือฮามาแล้ว

มือปราบเหยี่ยวดำย้ายกลับเข้ากรุงอีกครั้ง เมื่อ พล.ต.ท.โสภณ วาราชนนท์ เป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาลจัดกระบวนทัพนักสืบใหม่ให้เขาไปเป็นรองผู้กำกับการสืบสวนนครบาลธนบุรี ปราบโจรทุกรูปแบบตามสไตล์ กระทั่ง พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรักษ์ ไปขึ้นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ชื่อของบรรดล ลูกน้องเก่าจึงไปโผล่เป็นผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช “พื้นที่ของคนปักษ์ใต้ ผมไม่เคยอยู่มาก่อน ผมเป็นคนภาคเหนือ ท่านก็บอกว่า เมืองนี้โจรเยอะ อั๊วจะเอาลื้อไปปราบ  ผมดีใจมาก ดีใจ เพราะเป็นตำรวจที่ไต่เต้าจากชั้นประทวน ชีวิตมาด้วยลำแข้งของตัวเอง ทั้งตระกูลผมไม่มีใครเป็นตำรวจ อายุตอนนั้นแค่ 49 ปี หนทางน่าจะถึงนายพล”

“ผมทำงานจนได้รับเลือกเป็นข้าราชการตำรวจดีเด่นของจังหวัดนครศรีธรรมราช ผมถือว่าสุดยอด ผมเป็นคนภาคเหนือไปทำงานปกครองตำรวจที่เป็นคนภาคใต้ 200 คน ผมฟังเขาพูดก็ยังไม่รู้เรื่องเลย คดีอุกฉกรรจ์ของทุ่งสงสมัยนั้นติด 1 ใน 3 ของประเทศ ผมไปจับกุมคดีค้างเก่าทำสถิติอันดับ 1 ของประเทศ อยู่ได้ปีเศษ ท่านวรรณรัตน์ โยกกลับมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.สมศักดิ์ สายบัว รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 เรียกผมไปพบแล้วให้ข้อคิดว่า บรรดล ลื้ออย่าไปเลยนครบาล ลื้ออยู่ที่นี่ไม่มีใครสู้ลื้อได้ ตอนนั้น 2 จิต 2 ใจ ความที่เป็นห่วงและคิดถึงครอบครัวสงสารลูกเมียที่ต้องเดินทางไกลมาหาถึงนครศรีธรรมราชเลยต้องตัดสินใจย้ายกลับนครบาลมาเป็นผู้กำกับโรงพักหลักสอง”

ทุกวันนี้ พ.ต.อ.บรรดลบอกว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ น่าจะเชื่อนาย เจอ พล.ต.ต.สมศักดิ์ อีกครั้งยังพูดเลยว่า หากไม่ย้ายมานครบาล ป่านนี้คงเป็นรองผู้บัญชาการไปแล้ว  ความจริง ชีวิตการรับราชการทุกคนอยากเจริญก้าวหน้า อยากมีตำแหน่งสูงขึ้น ทุ่มเททำงาน เพราะหวังก้าวหน้า ตามนายมาอยู่หลักสอง ข้ามไปเป็น ผู้กำกับการสืบสวนนครบาล 9 นาน 3 ปีจับกุมยาบ้าอันดับ 1 ของนครบาล ได้รับโล่เป็นผู้กำกับการที่มีผลงานปราบปรามดีเด่น ด้วยผลงานจับกุมยาบ้า 2,555,000 เม็ด จับยาบ้าพร้อมเงินสินบนวิ่งเต้นอีก 8 ล้านบาท เป็นข้าราชการตำรวจดีเด่นของกองบัญชาการตำรวจนครบาล รับโล่ประกาศเกียรติคุณจากผู้ใต้บังคับบัญชากล่าวยกย่องเป็นผู้นำหน่วยดีเด่นเป็นเกียรติประวัติชีวิต

ปี 2545  พ.ต.อ.บรรดลนำกำลังไปจับคนร้ายฆ่าพลเมืองดีช่วยผู้เสียหายกระฉากกระเป๋าท้องที่สถานีตำรวจนครบาลบางบอนในวันที่ 13 ตุลาคม ที่ตรงกับวันตำรวจพอดี สื่อมวลชนโจมตีอย่างหนัก เขาตามล่าอยู่นาน 10 คืน 11 วันลากคอคนร้ายมาได้จากจังหวัดนครศรีธรรมราช เหนื่อยสายใจแทบขาดกว่าจะจับกุมได้ ระหว่างนำตัวคนร้ายเข้ากรุงเทพฯ คิดย้อนอดีตคำพูด พล.ต.ท.ณรงค์ เหรียญทอง อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาลในวันอำลาอายุราชการประโยคหนึ่งว่า อาชีพของเรา การจับกุมคนร้ายได้ จิตใจเราก็เป็นสุข มันไพเราะเพราะพริ้งมาก

“ผมประทับใจในคำพูดของท่าน ทำให้ผมคิดว่า ผมทำงานในหน้าที่ความเป็นตำรวจของผมได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว โลกนี้มันสดใสเหลือเกิน มีความสุขที่สุด พลอยคิดเลยเถิดไปถึงเรื่องอื่นอีกว่า เราเป็นผู้กำกับมากี่ปีแล้ว นับเวลาดู 5 ปี ต้องได้ขึ้นเป็น รองผู้การ เพราะมีผลงานมากมายในนครบาล แค่คดียาบ้า ไม่มีใครจับได้มากมายขนาดนั้น เป็นข้าราชการตำรวจดีเด่นอีก คนอื่นเขาเป็น 3 ปี ขึ้นรองผู้การกันเป็นแถว ไม่เห็นมีผลงานอะไรเลย ผมอยากเป็นรองผู้การ ก่อนเกษียณ ผมก็ฝันอยากเป็นนายพล ปีสุดท้ายก็ยังดี เพราะผมทุ่มเททำงานให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติมาทั้งชีวิต หวังในทางที่ถูกที่ควร” นายตำรวจมือปราบระบายความรู้สึก

ผ่านไปไม่ถึงเดือน มีคำสั่งย้ายพ.ต.อ.บรรดลไปเป็นผู้กำกับการอำนวยการ กองบังคับการตำรวจนครบาล 9 ทำเอาเขาแทบช็อก  ชีวิตที่เป็นตำรวจมา 40 ปี ไม่เคยเสียใจช็อกกับความรู้สึกอย่างนี้มาก่อน เพราะไม่เคยมีความรู้อำนวยการ ไม่มีความรู้เรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง มือจับปืนไล่ล่าคนร้ายมาทั้งชีวิต แต่เอาไปเป็นผู้กำกับการอำนวยการ “ ที่เจ็บปวดมากที่สุด ลูกน้องมาบอกว่า พวกพ่อค้าขายยาเสพติดในพื้นที่ไชโยกันหมด ย้ายมือปราบเข้ากรุไปแล้ว เสือกจับเก่งดีนัก ผมเคยคิดฟ้องศาลปกครอง เคยปรึกษากับเพื่อน มันบอกว่า ฟ้องไม่ได้ เนื่องจากผู้บังคับบัญชาชั่ว ๆ ที่ย้ายผมตอนนั้นต้องไปแถลงว่า ผมเป็นคนดี ซื่อสัตย์สุจริต ต้องให้ไปคุมงบประมาณแผ่นดินเป็นร้อยล้าน หาคนยากเหลือเกิน ต้องบรรดลคนเดียว”

“เขาหาว่าผมเป็นมือหาข่าวให้พรรคประชาธิปัตย์ เอาข้อมูลลับไปให้ พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรักษ์ ส.ส.ประชาธิปัตย์ เพื่อโจมตีรัฐบาลในสภา ตอนนั้นเคยคิดเอาโล่เกียรติยศ ใบประกาศเกียรติคุณจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติคืนให้หมด แม้กระทั่งคดีตี๋ใหญ่  แต่ได้รับการร้องขอจากภรรยาของผม เพราะรู้ว่าผมรักในอาชีพตำรวจมาก ลูกชายของผมเรียนนิติศาสตรบัณฑิตจบเกียรตินิยมธรรมศาสตร์ก็บอกว่า พ่ออย่าลาออกเลย ถึงอย่างไร พ่อก็เป็นพ่อของผม มันเป็นกำลังใจจากครอบครัว ยอมรับว่าเครียดมากเอาผมไปอยู่อำนวยการ 2 ปี ประชาชนและสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้อะไรแม้แต่นิดเดียว แล้วยังมาตามเช็ดผมอีก ย้ายไปเป็นผู้กำกับโรงพักสุวินทวงศ์ รอยต่อกรุงเทพฯกับฉะเชิงเทรา”

อดีตนายตำรวจผู้อยู่ในทีมปิดบัญชีตี๋ใหญ่บอกว่า รัฐบาลประกาศสงครามยาเสพติดรอบที่ 2 ไม่มีใครทำวิสามัญฯ คนร้ายคดีจำหน่ายยาเสพติด แต่เขาทำ พ่อค้ายาบ้ารายนี้ติดคุกแล้วติดคุกอีก ไม่เลิก ไม่หลาบไม่จำ เมื่อล่อซื้อก็เกิดการต่อสู้ หลังเกิดเหตุ มีนายตำรวจท่านหนึ่งระดับผู้บริหารของนครบาล นายตำรวจท่านนี้ด่ามากมายในที่ประชุมสมัยเขาเป็นผู้กำกับการอำนวยการว่า ไอ้บรรดล ไม่ทำงาน “ท่านโทรมาหาผมในที่เกิดเหตุ ผมเลยถือโอกาสว่า ท่านครับ ผมทราบว่าท่านด่าผมมากในที่ประชุมว่าผมไม่ทำงาน คำก็ไม่ทำงาน สองคำก็ไม่ทำงาน ผมทำงานให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาทั้งชีวิต แม้กระทั่งชีวิตของผมก็ไปเสี่ยงตายมาไม่รู้กี่ครั้ง แล้วท่านบอกผมไม่ทำงานได้อย่างไร ท่านต้องไปด่าไอ้คนที่มันแกล้งผม ไม่ใช่มาด่าผม นี่ไง งานของผม มาดูซิ นี่งานของตำรวจ มาดู ผมพูดเลย ไม่ใช่งานอำนวยการ นี่งานตำรวจแท้ ๆ”

สร้างผลงานให้โรงพักสุวินทวงศ์ไม่นาน พ.ต.อ.บรรดลย้ายไปกลับทำงานสืบสวนอีกครั้งที่ศูนย์สืบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ก่อนตัดสินใจแสดงความจำนงขอย้ายไปสระบุรี เพราะไปซื้อที่ทำไร่อยู่ละแวกนั้น หวังจะไปใช้ชีวิตบั้นปลายก่อนเกษียณ แต่ยังยินดีสมัครใจไปทำงานที่ที่มีโจรผู้ร้ายชุกชุม หรือคดียิงสารวัตรปราบปรามอำเภออุทัย พระนครศรีอยุธยา เสียชีวิตในเครื่องแบบ ปรากฏว่าพอคำสั่งออกมาย้ายเขาไปเป็นผู้กำกับโรงพักหนองโดน สระบุรี  พื้นที่เล็กที่สุดในชีวิตที่รับราชการมา แต่ไม่วายถูกลองของ เมื่อไปอยู่แค่ 6 วัน มีแทงกันตายในตลาด ใช้เวลา 2 เดือนเศษรวบรวมพยานหลักฐานตามจับคนร้ายได้ที่อำเภอศรีราชา ชลบุรี มีคดีงัดแงะเข้าไปในร้านขายโทรศัพท์มือถือก็ตามไปจับได้ถึงจังหวัดระนอง อีกคดีปล้นบ้านนายกเทศมนตรีอำเภอหนองโดน คนร้ายยิงพนักงานเทศบาลเข้ากลางอกเจ็บสาหัสกวาดทรัพย์สินเป็นล้านบาท เขาก็ไปตามจับได้หมด 5 คนในเวลาเพียง 7 วัน

ปีสุดท้าย พ.ต.อ.บรรดลได้แต่งตั้งเป็นรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระบุรี  เกิดการโจรกรรมรถยนต์ถี่ยิบในเมืองสระบุรี หนองแค พระพุทธบาท แก่งคอย เขาต้องไปวางแผนแกะรอยก่อนจับตายคนร้ายแก๊งขโมยรถ 2 ศพกลางเมืองสระบุรีหยุดสถิติรถหายได้ชะงักงัน  เขาบอกว่า มันมีแรงบันดาลใจอยู่อย่างที่ทำให้เกลียดพวกขโมยรถมาก หลังจากไปนั่งฟังพนักงานสอบสวนสอบผู้เสียหายถูกโจรกรรมรถยนต์เป็นสามีภรรยา

“ทั้งคู่ปรับทุกข์กันว่า พ่อ แล้วทีนี่เราจะเอารถที่ไหนส่งลูกไปโรงเรียน ผมฟังแล้วสะท้อนใจ อายตัวเองมาก เป็นตำรวจแล้วช่วยเหลือประชาชนไม่ได้ จำคำพูดเขามาถึงทุกวันนี้ ผมเป็นตำรวจที่แคร์กับความรู้สึกประชาชน อายมากคำพูดแบบนี้ ตำรวจทำอะไรกันอยู่”

นายตำรวจนักสืบมากประสบการณ์ฝากแง่คิดถึงสายเลือดนักสืบรุ่นใหม่ด้วยว่า  สื่อมวลชน โจมตีการทำงานของเรามากว่า นักสืบจะสูญพันธุ์แล้ว “ผมกล้าพูดอย่างไม่อาย ไม่กระดากปาก ผมนักสืบของแท้ ของแท้ ๆ เลือดทุกหยดผมเป็นตำรวจนักสืบ  ทุกวันนี้น้องทุกคนไม่ทำงานเหมือนสมัยพวกผมทำงานเป็นนักสืบเด็ก ๆ เลย ไม่ค่อยมีสาย ไม่ใช้สายข่าว แต่หาข่าวจากคอมพิวเวอร์หมดแล้ว สมัยก่อนอยู่สืบเหนือ ตำรวจนักสืบจะรู้ล่วงหน้านะว่าจะมีการปล้นแบงก์ ปล้นร้านทอง เดี๋ยวนี้เกิดก่อนแล้วค่อยมาตามจับ ไม่ค่อยสมบุกสมบันกัน เจ้าสำอางสำรวยกันเหลือเกิน”

 “นอกจากนี้ยังอยากฝากถึงนายตำรวจระดับผู้กำกับขึ้นไปที่แต่งเครื่องแบบ ไม่พกปืนติดตัวไม่พร้อมที่จะทำงานกันเลย ผมขอเตือนสติกันไว้หน่อย มีตำรวจเยอะแยะที่ถูกยิงตายขณะสวมเครื่องแบบ แล้วไม่มีปืนพก ยกตัวอย่างรองผู้การ 9 ขนาดเป็นนักแม่นปืนนะ ไม่ใช่นั่งกินข้าวอยู่ในตลาดแล้วมีการปล้นร้านทองเกิดขึ้น ปืนไม่มีแล้วจะเอาอะไรไปสู้กับโจร ท่านกำลังตั้งอยู่ในความประมาท การแต่งเครื่องแบบตำรวจนั้น ถ้าพกปืนติดตัว ติดเอวตลอดเวลา มันสง่านะครับ ผมยกย่องท่าน พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ ท่านไปไหนพกปืนติดเอวตลอดเวลา ขนาดเป็นผู้บริหารสูงสุดของตำรวจแล้ว อย่าได้ห่างปืน”

บรรดล ตัณฑไพบูลย์ !!!

RELATED ARTICLES