“ผมอาศัยครูพักลักจำ เพราะผมไม่มีสถาบัน”

ดีตมือปราบภูธรที่ผ่านชีวิตมาแบบโชกโชนอีกคน

น้อยนักที่จะไม่รู้จัก “สมชาย โพธิ์เย็น” โดดเด่นเป็นนักสืบแบบไม่มีตำราเรียนรู้ อาศัยประสบการณ์เป็นครูชี้แนวทาง กระทั่งมีชื่อชั้นไม่เป็นรองใครในพื้นที่ภูธรภาค 7 ยุคหลายสิบปีก่อน

พ.ต.อ.สมชาย โพธิ์เย็น พื้นเพเดิมเป็นคนคลองบางหลวง อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม จบประถม 4 แถวบ้านแล้วต้องนั่งเรือ 2 ชั้นไปต่อโรงเรียนสหวิทย์ จังหวัดสุพรรณบุรี มีดีกรีแค่มัธยมต้น เนื่องจากในฐานะทางครอบครัวไม่ดี ไม่มีทุนให้เรียน ต้องหันมาช่วยพ่อแม่ทำฟาร์มไก่ไข่สักพัก ตัดสินใจเข้าสมัครสอบเป็นตำรวจตระเวนชายแดนเขต 9 จังหวัดสงขลารุ่นปราบโจรจีนคอมมิวนิสต์

เขาย้อนลำดับดับเรื่องราวว่า สมัยนั้นรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรีหางานทำยากมาก พอดีหลวงชาติตระกาลโกศลต้องการรับสมัครตำรวจตระเวนชายแดน 500 คน เพื่อไปเป็นหน่วยรบที่ภาคใต้จึงไปสมัคร อยู่ที่นั่นไม่เคยเรียนวิชาตำรวจเลย เรียนแต่การรบแบบกองโจร เลือกเป็นตำรวจ เพราะเห็นเป็นอาชีพมั่นคง มีหลักประกัน ที่บ้านก็ไม่มีใครรับราชการ ส่วนความเสี่ยงเป็นเรื่องธรรมดา ชีวิตลูกผู้ชาย

เปิดแนวรบทำสงครามกับโจรจีนอยู่ในป่านาน 10 ปี พ.ต.อ.สมชายเล่าว่า  ถ้านับเวลาเดินป่าอย่างเดียวน่าจะราว 7 ปี เคยเฉียดตายถูกยิงถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกโดนเข้าข้อมือซ้ายกระดูกแตกตอนเป็นพลตำรวจได้พิจารณาขั้นพิเศษ 2 ขั้น ติดยศ สิบตำรวจตรีที่เมื่อก่อนเป็นยากมาก โก้จริง ๆ ช่วงนั้นอายุแค่ 20-22 ปี ไม่มีนายสิบหนุ่ม ๆ มันภูมิใจมากกว่าเป็นพันตำรวจเอกเสียอีกติดหน้าแถวกองกำกับคนเดียวเลย

ครั้งที่สองอาการหนักสุดถูกกระสุนเอ็ม 16 เข้าโพรงจมูกทะลุโหนกแก้ม บริเวณเขาน้ำค้าง อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา ฐานที่ตั้งของกองโจรจีนที่มีกำลังกว่า 400 คน ขณะนั้นติดยศ ส.ต.ท. แต่รักษาการแทนผู้บังคับหมวด เพราะไม่มีนายตำรวจไปอยู่ เจ้าตัวเล่าว่า สมัยก่อนลำบากอย่างไรก็อยู่ได้ โสด นอนในป่า 2-3 เดือนสบาย ก่อนเกิดเหตุนายเอาเฮลิคอปเตอร์มารับที่ค่ายฝึกขึ้นไปวนพื้นที่เจอฐานโจรจีน มีกระท่อมอยู่ 2-3 หลังจึงยิงเอ็ม 16 และเอ็ม 79 จากบนเครื่องลงไปที่ฐานคอมมิวนิสต์

พอกลับถึงค่าย พ.ต.อ.สมชาย ได้รับคำสั่งให้เป็นหัวหน้านำกำลังตำรวจตระเวนชายแดน 3 หมวดราว 50 นายย้อนกลับไปหวังจะตีค่ายโจร ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปลงเชิงเขาแล้วเดินป่าอีก 2 คืน ถึงค่ายโจรตอนเช้าจัดแจงตั้งจุดรวมพลแล้วนำกำลังขึ้นฐานโจรที่อยู่สันเขา แต่เสียเปรียบภูมิประเทศ “ลูกน้องที่นำหน้าผมถูกยิงหัวเกือบขาด อีกคนตกหลุมพราง เพื่อนข้าง ๆ ก็ดึงมือจะช่วยขึ้นมากลับถูกยิงฟุบที่ปากหลุม ผมมองหาวิถีกระสุนมาทางไหน ช่วงที่หันไปทางซ้ายจังหวะคนยังไม่ถึงที่ตาย ถ้าไม่หันกระสุนคงเข้าขมับ ผมหันหน้ารับลูกปืนพอดีหงายท้องกลิ้งตกลงมาสลบไม่รู้เรื่องเลย ลูกน้องลากจากยอดเขาลงมาตามทางกลับจุดรวมพล”

“ผมฟื้นอีกทีเกือบมืด ลูกน้องคิดว่าตายแล้วเอามานอนข้างศพอีก 2 คนที่ถูกยิงไล่เลี่ยกัน ท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียด เหลือเชื่อกำลังตำรวจตระเวนชายแดนเกือบ 50 นายอาวุธสงครามครบมือกลับถูกโจรล้อมทำอะไรไม่ได้ ผมพูดไม่ได้ หนาวสั่น เลือดออกมาก ลูกน้องคนหนึ่งชื่อเอิบ บุญมา คลานมาถามแล้วบอกเดี๋ยวไปเอาผ้าห่มมาให้ พอมันลุกขึ้นยืนเพื่อจะเอาผ้าห่มก็ถูกยิงหงายท้อง โดนเอ็ม 16 เต็มหน้าอก ก่อนปะทะกันทั้งคืน คิดว่าคงไม่รอดแน่ นึกในใจไม่น่าจะต้องเอาชีวิตมาทิ้งในป่าเลย”อดีตตำรวจตระเวนชายแดนเล่านาทีชีวิต

ปรากฏว่าตอนเช้ากองกำลังคอมมิวนิสต์ทยอยถอย นักรบปราบโจรจีนบอกว่า ลูกน้องติดต่อวิทยุไปที่ค่าย ทางนั้นถามว่า สมชายไปไหน ฝั่งเราก็เคาะรหัสส่งสัญญาณบอกพูดไมได้ พากันคิดว่า เราตายตายแล้ว ตอนหลังมีเฮลิคอปเตอร์มารับส่งโรงพยาบาลหาดใหญ่  รอดตายราวปาฏิหาริย์ มารู้ทีหลังด้วยว่า จุดรวมพลก็เป็นสนามทุนระเบิด โชคดีจังหวะที่เอากำลังขึ้นไปตีบนยอดเนิน ลูกน้องไปสะดุดสายไฟขาด ไม่อย่างนั้นกำลัง 50 กว่าคนคงไม่เหลือ มันทำอย่างดี เราไม่รู้เลย  ขนาดเราชำนาญแล้วพยายามดู ระแวงเหมือนกัน แต่ไม่มีร่องรอยอะไรเลย ทำเนียนมาก จำได้ว่า พ่อกับแม่รู้ข่าวนั่งรถไฟไปใส่ชุดดำด้วย คิดว่าจะไปรับศพลูกชาย เพราะหนังสือพิมพ์ลงว่าเราพูดไม่ได้ คิดว่าตายแน่

รอดตายครั้งนั้น ส.ต.ท.สมชาย ได้ขั้นพิเศษปีรุ่งขึ้นติดยศ ส.ต.อ. เป็นขั้นประจำปี 2 ขั้น ก่อนได้ขั้นพิเศษอีก 6 ขั้นรวมเป็น 8 ขั้น กระโดดไปเป็นจ่าสิบตำรวจเต็มขั้นแล้วยังมีเหลืออีก 2 ขั้น กรมตำรวจกลับแก้ปัญหาให้เขาใช้สิทธิไปสอบนายร้อย “ผู้ใหญ่บอกถ้าสอบได้ ลื้อก็เป็นนายร้อยไป ถ้าสอบไม่ได้ก็เจ๊ากันไป ไม่ต้องให้ ตอนนั้นนายว่าไงก็ว่ากัน ไม่เถียง ใช้ให้เราไปตายยังไปได้เลย แค่นี้ให้ไปสอบก็ไป แต่จะเอาความรู้ที่ไหนไปสอบล่ะ ไม่มีเวลาเตรียมตัวเลย หนังสือไม่เคยอ่าน สอบเป็นพิธี สุดท้ายก็ไม่ได้ กรมตำรวจก็ตัดขั้นที่เหลือ 2 ขั้นทิ้ง แทนจะแขวนไว้ก่อน เพราะเป็นขั้นกรณีพิเศษ ทิ้งก็ทิ้ง” ตำรวจเดนตายระบายความรู้สึก

ต่อมา เขามีครอบครัวเริ่มมองว่า การเป็นตำรวจตระเวนชายแดนควรยุติได้แล้วจึงไปเรียนผู้เป็นนายขอย้ายกลับภูมิลำเนา อ้างว่า รับใช้ต้นสังกัดมานานกว่า 10 ปี โดนยิงมา 2 หนแล้วมันไม่ตาย แต่ถ้าหนที่ 3 คงไม่รอด ผู้เป็นนายฟังแล้วหัวเราะ ตอนหลังก็ทำเรื่องเสนอย้ายให้ไปเป็นผู้บังคับหมู่ป้องกันปราบปรามโรงพักบางเลนถิ่นกำเนิดตามขอ เขาได้ใช้เวลาว่างทำฟาร์มเลี้ยงหมูที่บ้านอาศัยความรู้จากตำราตอนอยู่ป่าที่ติดไปแก้เครียดระหว่างรบ

จนปี 2518 กรมตำรวจเปิดสมัครนายตำรวจสายปราบปราม จ่าสมชายวัย 30 เศษเข้าไปชิงติดดาวบนบ่าสำเร็จ อบรม 6 เดือน เงินเดือนสูงทะลุข้ามติดยศ ร.ต.ท.เลย แต่ยังสังกัดอยู่บางเลน ด้วยความที่จริงจังกับงานขนาดจะไปติดยศวันรุ่งขึ้นแล้ว วันนี้ยังเข้าสิบเวรออกเวรเที่ยงคืน ลูกน้องแซวว่า จะมานั่งเป็นสิบเวรทำไม เขาตอกเชิงสอนตำรวจรุ่นเด็กกว่าว่า “ถ้ามึงเข้ายามไม่ได้ มึงไม่ต้องเป็นนายตำรวจหรอก หน้าที่ง่ายที่สุดไม่เห็นต้องทำอะไรมาก”

เป็นนายตำรวจอยู่บางเลนไม่นานถูกดึงไปอยู่ชุดเฉพาะกิจภูธรจังหวัดนครปฐมเจอมลทินต้องคดีเอาแก๊งปล้นรถบรรทุกข้าวสารไปยิงทิ้ง 3 ศพ กองปราบปรามตามมาจับขัง 7 วันสู้คดีอีกปีกว่าจะกลับมาบริสุทธิ์ เป็นจังหวะเดียวกับ พ.ต.ท.โสภณ สะวิคามิน มาเป็นรองผู้กำกับภูธรจังหวัดนครปฐม และตั้งชุดเฉพาะกิจอีกครั้ง เขาไปรายงานตัวขออยู่ด้วย

“ทำงานสืบสวนปราบปรามอยู่กับรองโสภณนานมาก นครปฐมช่วงนั้นแรง มีคดีเกิดเยอะทั้งมือปืนรับจ้าง ปล้นทรัพย์รถบรรทุกข้าวสาร บรรทุกน้ำตาล บรรทุกอ้อย ไหนจะคดีอาชญากรรมทั่วไปอีก รองโสภณแกหัวดีนะ เรื่องงานสืบสวนเก่งมาก ผมอาศัยครูพักลักจำ เพราะผมไม่มีสถาบัน ไม่ใช่นักเรียนนายร้อย ความรู้ทางด้านงานสืบสวนแค่โรงเรียนนายสิบ ไม่เคยอบรมกับใครที่ไหน อาศัยประสบการณ์จากการเป็นตำรวจตระเวนชายแดนมาประยุกต์ใช้ในเมือง”

ทำงานเป็นลูกทีมมือปราบชื่อดังของกรมตำรวจจนผู้เป็นนายขยับขึ้นผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม ศิษย์เอกอย่างเขาพลอยได้รับความไว้วางใจให้เป็นสารวัตรปกครองป้องกัน สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครปฐม แต่ยังคงทำหน้าที่ชุดเฉพาะกิจให้ผู้กำกับนาน 6 ปี ขยับเป็นสารวัตรแผนก 5 กองกำกับการสืบสวนภูธรเขต 3 ปีถัดมาขึ้นเป็นรองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 แล้วย้ายลดชั้นเป็นรองผู้กำกับสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตำรวจภูธร 1 ที่ทำงานอยู่พระนครศรีอยุธยา

จังหวะชีวิตโชคดี วันแรกแต่งเครื่องแบบเต็มยศไปรายงานตัวกับ พล.ต.ต.เสรี พรรคพิบูลย์ ผู้บังคับการเจอหน้าบอกไม่ต้อง เพราะเพิ่งมีคดีคนร้ายลักทรัพย์หลวงพ่อโต วัดเกศไชโย จังหวัดอ่างทอง อธิบดีณรงค์ มหานนท์ สั่งให้ตามตัวคนร้ายมาให้ได้ รองผู้กำกับตำรวจผู้มาใหม่ยังไม่ทันได้เปลี่ยนองค์ทรงเครื่องดูห้องทำงาน เจอนายพลตำรวจตรีตัดบทบอก “ข้าวของจัดเมื่อไหร่ก็ได้ ลื้อถอดเสื้อไว้ที่บ้านอั๊ว แล้วไปดูที่เกิดเหตุเลย”  นักสืบภูธรถึงต้องกุลีกุจอมุ่งหน้าวัดชื่อดัง

หลังเข้าไปในโบสถ์เจอแต่เจอแท่นองค์พระ พ.ต.อ.สมชายช่วงนั้นรู้ว่า กำลังจะมีพิจารณาเอารองผู้กำกับเข้าอบรมโรงเรียนผู้กำกับ เพราะกรมตำรวจมีแผนจะขยายอัตราเลยตัดสินใจจุดธูป บอกหลวงพ่อ ถ้ามีบุญ ขอให้ตามหลวงพ่อเจอ แล้วจะนิมนต์กลับวัด เพื่อจะได้มีโอกาสไปเข้าอบรมเป็นผู้กำกับกับเขาบ้าง ถ้าได้งานนี้เขาคิดว่า คงมีโอกาสแน่ นายคงจะเมตตาและจะพยายามตามหลวงพ่อให้เจอ นายตำรวจนักสืบจุดธูปอธิษฐานตามเรื่องตามราวก่อนเดินสำรวจที่เกิดเหตุทั่วบริเวณ

อดีตตำรวจนักรบที่เปลี่ยนแนวมาเป็นนักสืบเล่าว่า ออกจากโบสถ์ไปเจอคนพิการแขนขาไม่มี แต่เอาปากเขียนหนังสือเก่งกว่าคนมีมืออีก แถมสานไม้ไผ่เป็นบ้านทรงไทยหลังเล็ก ๆ ขาย เราก็เลยไปดูแล้วขอซื้อบ้าน 1 หลัง เขาก็มองหน้าเราแบบคนแปลกหน้าจึงนั่งคุยถามว่า อยู่ที่นี่นานหรือยัง เขาบอกบ้านอยู่ตรงนี้เอง ข้างรั้ววัด พอถามเรื่องพระหาย เขาชะงักมองหน้าถามเป็นตำรวจหรือ เราไม่ปฏิเสธเพราะอยากจะมาช่วย ถามว่า สงสัยอะไรหรือไม่

 “ผมรู้ว่า คนพวกนี้จะมีความสามารถพิเศษ ช่างสังเกต ผมบอกพูดได้ไม่ไปบอกใครหรอก มันเล่าว่า ก่อนเกิดเหตุ 2 วัน คนร้ายมากัน 3-4 คน ไล่รูปร่างแต่ละคนละเอียดยิบ ทั้งรูปพรรณ การแต่งตัว สำเนียงการพูด ผมบันทึกละเอียดแล้วเอาข้อมูลตรงนั้นไปถามกลุ่มเซียนพระว่า รูปร่างแบบนี้มีรู้จักบ้างมั้ย ได้คำตอบว่า มี ชื่อไอ้แดง บ้านอยู่เสนา ผมไม่บุ่มบ่าม ให้ลูกน้องไปเช่าบ้านอยู่ฝั่งตรงข้ามในตลาดเสนาดูพฤติกรรมเกือบเดือน”

พ.ต.อ.สมชายย้อนคดีดังว่า มีอยู่วัน ตอนนั้นอยู่นครปฐม ลูกน้องโทรมาบอกว่า ไอ้แดงออกจากบ้าน มีรถปิกอัพสองคัน เราก็สั่งให้ตาม ถ้ามีจังหวะประกบเอาเลยกลางทาง ตามสักพัก ลูกน้องรายงานว่า เอาไม่ได้รถเยอะกลัวอุบัติเหตุ จึงให้ตามต่อว่าไปไหน ปรากฏว่า รถมันเข้านครนายกผ่านโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าเข้าเขตทหาร “ผมให้หยุดก่อน เดี๋ยวยุ่ง หาที่บ้านแล้วเช้าว่ากันใหม่ ให้ลูกน้องวนไปตามวัดแถวนั้นมีที่ไหนถูกขโมยพระบ้าง เช็กไปเช็กมาหายถึง 3 วัด แบบนี้ชัดเจน ฝีมือไอ้แดงแน่ ตอนหลังก็ได้ตัวมันสารภาพหมดขโมยตามใบสั่งปล่อยขายนายทุนย่านลาดพร้าว”

“ไปตามพระคืนได้สำเร็จ มันขุดหลุมฝังดินโบกปูนเอากรงนกยูงทับไว้อำพราง ผมได้สมคิด บุญถนอม อยู่นครบาลช่วยตามอีกทาง พอค้นจนเจอก็เรียกผมไปดู ได้หลวงพ่อโตคืนอีกหลายวัด อธิบดีกรมตำรวจแถลงข่าวใหญ่โต วันรุ่งขึ้นมีพิจารณาคัดรองผู้กำกับเข้าอบรมผู้กำกับพอดีด้วย ตอนแรกชื่อผมหลุดไปแล้ว ปรากฏว่า มีรองผู้บัญชาการท่านหนึ่งทักในที่ประชุม ทำไมไม่มีชื่อผม เพราะถือเป็นผลงานเด่น ผมเลยได้ห้อยติดไปอบรมเป็นคนสุดท้าย” หัวหน้าทีมติดตามล่าแก๊งโจรกรรมพระพุทธรูปบอก

ไม่นาน เขาได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นผู้กำกับการรองหัวหน้าตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี วางนโยบายม้า มอญ ไม้ มีในพื้นที่ไม่ได้เด็ดขาด ทำแค่ 8 เดือนย้ายไปสมุทรสาครก่อนมีข่าวจะถูกเด้งไปไกลถึงหนองบัวลำภู พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค จำชื่อได้เพราะเคยทำงานด้วยกันหลายคดีจึงค้านในที่ประชุมอ้าง สมชายไม่เคยอยู่อีสาน มีประวัติเคยอยู่ภาคใต้ให้หาตำแหน่งว่างพื้นที่ใต้ลงแทน  สุดท้ายเป็นผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองระนอง ไปโรงพักทำงานวันแรกก็ได้เรื่องอีก

“ไปถึง 10 โมงเช้าเรียกนายตำรวจประชุมเปิดใจ คำแรกที่พูดก็บอกว่า ผมดีใจที่มาอยู่ที่นี่ แต่ไม่รู้เลยว่าจะมาอยู่ และเชื่อว่าคงอยู่ไม่นานเท่าไหร่ เพราะมีความตั้งใจอยากจะกลับไปทำงานใกล้บ้าน ระหว่างอยู่ที่นี่ก็ช่วยกันทำงานนะ รองผู้กำกับป้องกันปราบปรามก็มากระซิบบอก ยุ่งแล้วเจ้านาย มีพม่าถูกฆ่าตาย เป็นคนส่งหวย เขาหาว่าตำรวจฆ่า เป็นเรื่องแล้ว ผมก็ให้ว่ากันตรง ๆ ถ้าทำไม่ดี พม่าปิดด่านความเสียหายก็ตกอยู่กับพ่อค้าแล้วพ่อค้ามันก็จะมาด่าตำรวจ”

คล้อยหลังจากนั้น พ.ต.อ.สมชายก็ได้ตัวสายตรวจฆาตกรอำมหิตโรงพักเมืองระนอง 2 นายมาสอบปากคำรับสารภาพหมดเปลือก เห็นพม่าหิ้วลังกระดาษมา ถามอะไร มันไม่ตอบ พอเปิดดูเห็นแบงก์พัน แบงก์ห้าร้อยอยู่ข้างบนจึงเกิดความโลภคิดว่า คงเป็นล้านเลยอุ้มมันไปฆ่าทิ้ง เสร็จมานับเงินที่แท้มีแค่ 2 แสนกว่าบาท เพราะข้างล่างเป็นแบงก์ยี่สิบ ครั้งนั้น พ.ต.อ.สมชายก็สอนไปว่า คุ้มหรือไม่ที่ติดคุกติดคุก ผู้กำกับก็ไม่อยากทำ แต่ถ้าไม่ทำ ตำรวจก็เสีย  พ่อค้า ชาวบ้านเขาจะด่าตำรวจ ตำรวจจะกลายเป็นตัวเสนียด ต้องรับกรรมไปก็แล้วกัน

อยู่ระนอง 2 ปีกลับมาเป็นผู้กำกับโรงพักเมืองนครปฐมอีก 2 ปี ขยับนั่งผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนภูธรภาค 7 แล้วย้ายไปโรงพักบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี และลาออกก่อนเกษียณปีเดียวไปลงสมาชิกสภาเทศบาลที่บ้านเกิด ด้วยเหตุผลกลัวไม่มีงานทำเมื่อเกษียณอายุ เพราะทั้งชีวิตทำอยู่กับอาชีพตำรวจ กังวลมากว่า เกษียณแล้วชีวิตจะอยู่อย่างไร ไม่มีสังคมอะไรถึงตัดสินใจเล่นการเมืองท้องถิ่น

ตลอดชีวิตผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ในบทของนักสืบมือปราบที่ผ่านคดีสำคัญน่าประทับใจมากมาย แต่ พ.ต.อ.สมชายภูมิใจมากสุดเป็นคดีคนร้ายจับ 2 ลูกชายเจ้าของโรงงานย่านนครปฐมไปเรียกค่าไถ่ เจ้าตัวเล่าว่า ตอนนั้นเป็นสารวัตรกองสืบ กองปราบปรามประสานท่านโสภณ สะวิคามินมาว่า ลูกชายเสี่ยเจ้าของโรงงานเพิ่งจบปริญญาโทจากอเมริกาถูกเรียกค่าไถ่นับล้านบาท ตำรวจเปิดเกมคว้าตัวคนเปิดบัญชีธนาคาร ซักไปซักมารู้ว่าเอาเหยื่อไปขังกระท่อมในป่าเขาย้อย เพชรบุรี มีคนเฝ้าอยู่

“ผมเป็นตำรวจตระเวนชายแดนเก่าก็บอกนายไม่ต้องห่วง ถ้าในป่าผมขอจัดการเอง บอกจุดอะไรเรียบร้อยก็เดินป่าไป กำลังลูกน้อง 7-8 คน แต่คนนำทางพาเดินเลยกระท่อมต้องย้อนกลับมาตอนรุ่ง ไม่รู้ว่าคนร้ายอยู่หรือไม่อยู่ ตัดสินใจเข้าชาร์จเลย ยิงกันก็ยิง ถีบประตูเข้าไป โจรหนีดันไปแล้ว เจอสองพี่น้องถูกจับล่ามโซ่ไว้ ทั้งคู่เห็นตำรวจเหมือนเห็นพระเจ้า กอดขาผมเลย เหมือนรอดตายแล้ว ผมภูมิใจตรงที่ได้ช่วยเหลือชีวิตคน คนที่ตกในสถานการณ์แบบนั้นไม่รู้จะเป็นหรือตาย หากไม่ได้เงินค่าไถ่อาจโดนฆ่าทิ้ง ผมจำติดตา” พ.ต.อ.สมชายเผยวีรกรรมวันวาน

นายตำรวจเก่ามากประสบการณ์ฝากแง่คิดเป็นวิทยาทานนักสืบรุ่นหลังด้วยว่า งานสืบสวนสมัยนี้ดี มีตัวช่วย รุ่นก่อนไม่มี ปัจจุบันตามผู้ต้องหาจากวงจรปิด จากการใช้โทรศัพท์ คดีสำคัญคลี่คลายได้ง่าย  ถึงอย่างไรก็ตาม คนที่ทำงานสืบสวนต้องเป็นคนที่มีใจรัก ต้องมีความเสียสละ สำคัญต้องขยัน เกาะติด งานสืบสวนจริง ๆ ต้องคิดว่า 24 ชั่วโมงบางทีมันน้อยไปสำหรับคนทำงาน เราไม่ต้องคำนึงถึงเวลา ช่วงจังหวะไหนตามได้ก็ต้องตามอย่าทิ้งโอกาส เวลาไม่ต้องดูกัน อดทน ขยันทุ่มเทแล้วมันจะประสบความสำเร็จ

“ผมเรียนรู้มาจากถวิล เปล่งพานิช แกเคยพูดตลอด ขยันลูกเดียวโจรไม่มี แกทุ่มเท กลางคืนไม่หลับไม่นอน เวลามีคดีจะเป็นหัวหน้าชุดเฉพาะกิจไปที่เกิดเหตุ ไม่เลือกเวลา อีกเรื่องคือ ต้องสร้างความน่าเชื่อถือ ผมมีเพื่อนร่วมงานช่วยทำงาน ส่วนใหญ่สำเร็จยุคนั้นเกิดจากชาวบ้านเชื่อถือ ไม่ได้เชื่อถือผม อาจเชื่อถือลูกน้อง เชื่อถือทีมงาน หากทำให้ชาวบ้านเชื่อถือศรัทธาได้บางเรื่องมันจะง่าย ยุคผมตีสาม ตีสี่เรียกผู้ใหญ่บ้านได้ เราจะเป็นกันเอง เขารู้ว่าเรามีความตั้งใจสนการทำงาน ถ้าเขาไม่ศรัทธาไม่มีทาง”

สุดท้ายหัวใจของงานสืบสวนที่ไม่ควรลืม พ.ต.อ.สมชายเน้นว่า การรวบรวมพยานหลักฐานหลังเกิดเหตุเป็นเรื่องสำคัญมาก หากเราไปถึงที่เกิดเหตุเร็วเท่าไร หาข้อมูลตรงจุดเกิดเหตุ ทั้งพยานบุคคล วัตถุพยานต่าง ๆ ทุกอย่างในที่เกิดเหตุ ตรวจสอบสถานเกิดเหตุให้ครบถ้วน มันจะเป็นโอกาสให้เราสามารถคลี่คลายคดีได้เร็ว มีหลายคดีที่ประสบความสำเร็จจากการตรวจสอบที่เกิดเหตุอย่างละเอียดมาแล้ว

ตำนานมือปราบบ้านนอกยกตัวอย่างที่เจอมาเองสมัยเป็นสารวัตรปกครองป้องกันเมืองนครปฐมว่า คดีเสี่ยโรงงานแห่งหนึ่งแถวบางขุนเทียนถูกฆ่าตาย มีเมียเก็บอยู่สวนกล้วยไม้แถวบางแค ศพถูกนำไปทิ้งอำเภอบางแพ ราชบุรี รถทิ้งองค์พระปฐมเจดีย์ นครปฐม  วันนั้นรับแจ้งรถต้องสงสัยจอดไว้ 2 วันแล้ว ไปถึงก็ค้นในรถละเอียดได้เศษไม้ชิ้นนิดเดียว เหมือนไม้เก้าอี้แตกก็เก็บไว้ ต่อมาเจอศพเหยื่อสืบสาวราวเรื่องไปค้นบ้านเมียเก็บที่บางแค

“ค้นบ้านตอนแรกไม่มีอะไรผิดปกติ ดูไปดูมาหลังบ้านผมเห็นเก้าอี้หัก เป็นไม้เนื้อเดียวที่เก็บไว้เลย เริ่มแน่ใจว่าตรงนี้ต้องเป็นที่เกิดเหตุแน่ ในบ้านมีเสื่อน้ำมันเลยรื้อเสื่อน้ำมันออกเอาวิทยาการสาดน้ำยาเจอคราบเลือดทั้งนั้น สรุปว่า คนร้ายเป็นผู้หญิงเมียเก็บคนตายนั่นแหละ ได้ลูกชายเจ้าของที่ดินสองพี่น้องช่วยฆ่า เพราะสงสารผู้หญิงถูกไอ้เสี่ยชอบมาซ้อมทำร้ายร่างกายประจำ ตรงนี้ คือ ความละเอียดรอบคอบสามารถคลี่คลายคดีได้ง่าย” อดีตนักสืบนอกตำราทิ้งท้าย

สมชาย โพธิ์เย็น !!!

RELATED ARTICLES